Thursday, 25 April 2024
South Time Team

ปิดถนน เข้า-ออกป่าตอง หลังดินถล่มเป็นวงกว้าง ขณะย่านเมืองเก่าน้ำเริ่มท่วมอีกรอบ

ปิดทางเข้า-ออก เนินเขาป่าตองแล้ว หลังดินจากภูเขาถล่มเนื่องจากอุ้มน้ำไม่ไหว ขณะที่ในพื้นที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต น้ำกลับเข้ามาท่วมอีกรอบ และเพิ่มระดับขึ้น ทาเจ้าหน้าที่เร่งแก้ปัญหา

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมและดินถล่ม ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต หลังมีฝนตกหนักต่อเนื่อง วันนี้ (19 ต.ค.) พบว่า มีดินถล่มและดินสไลด์เกิดขึ้นหลายจุด โดยเฉพาะ ตั้งแต่โค้งสนามยิงปืน ทางขึ้นเขาป่าตอง ก่อนถึงป้ายป่าตอง ซิตี้ พบว่ามีดินสไลด์ลงมาเป็นวงกว้าง ไม่สามารถให้รถผ่านไปมาได้ โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปิดถนนทางขึ้นป่าต้องทั้งขาเข้าและขาออกแล้ว

นอกจากนั้นยังมีเหตุดิน ที่บริเวณ เส้นทางกมลา-ป่าตอง บริเวณเขาหน้ายักษ์ ซึ่งมีเสาไฟฟ้าล้ม เนื่องจากดินสไลด์ลงมา ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่เร่งเคลียร์พื้นที่แล้ว

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในภูเก็ต พบว่าขณะนี้มีน้ำท่วมในพื้นที่ชั้นนอกและพื้นที่ชั้นในหลายจุด โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านเมืองเก่า พบว่าปริมาณน้ำเริ่มที่จะไหลเข้าท่วมบริเวณสี่แยกโต้โพ้ และ สี่แยกแถวน้ำ รวมทั้งสี่แยกชาร์เตอร์ โดยเจ้าหน้าที่ปิดถนนบางส่วนเพื่อไม่ให้รถเข้าไปในพื้นที่ย่านเมืองเก่า

'หลวงตาบุญชื่น' เริ่มออกเดินจาริกธุดงค์เท้าเปล่าแล้ว สาธุชนมารอกราบ ถวายน้ำปานะ และดอกไม้ตลอดทาง

'หลวงตาบุญชื่น' พระธุดงค์สายป่า อายุ 74 ปี เริ่มออกเดินจาริกธุดงค์แสวงบุญเท้าเปล่าจาก อ.หาดใหญ่มุ่งสู่ปลายทางบ้านเกิดที่ จ.นครพนม โดยจะใช้เวลา 5 เดือนผ่าน 24 จังหวัด ระยะทาง 3,415 กิโลเมตร

(19 ต.ค. 65) ที่วัดมหัตตมังคลาราม หรือวัดหาดใหญ่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หลวงตาบุญชื่น ปัญญาวุฑโท อายุ 74 ปี 13 พรรษา ซึ่งเป็นพระธุดงค์สายป่า แห่งที่พักสงฆ์หลวงตาบุญชื่น ต.โพนสวรรค์ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม และเป็นที่เคารพของสาธุชนทั่วประเทศ เริ่มออกเดินจาริกธุดงค์เท้าเปล่าแสวงบุญโปรดญาติโยมและมุ่งการให้ทานแล้ว ท่ามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมา โดยเริ่มต้นจากวัดมหัตตมังคลาราม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ปลายทาง จ.นครพนม ซึ่งเป็นบ้านเกิด ผ่าน 24 จังหวัด รวมระยะทาง 3,415 กิโลเมตรใช้เวลาธุดงค์ราว 5 เดือน

โดยบรรยากาศขณะเริ่มออกเดินธุดงค์ผ่านในเมืองหาดใหญ่มีสาธุชนมารอถวายน้ำปานะและดอกไม้ตลอดเส้นทาง รวมถึงมารอกราบนมัสการตลอดเส้นทางทางเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปกครองและหน่วยกู้ภัยในพื้นที่คอยอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง

น้ำท่วมถนนเพชรเกษมย่านเขาหลัก เจ้าหน้าที่เร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำ วอนปัญหาซ้ำซากให้กรมทางหลวงช่วยแก้ไขด่วน

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ (19 ตุลาคม 2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากมีฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดพังงาอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมถนนเพชรเกษมสายตะกั่วป่า-เขาหลัก จากบริเวณหน้าตลาดสด บขส.บางเนียง หมู่ 3 ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จนถึงหน้าศูนย์การแพทย์เขาหลักระยะทางเกือบ1กิโลเมตร ทำให้รถจักรยานยนต์และรถเล็ก ไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ทางเจ้าหน้าที่ สภ.เขาหลัก เทศบาลตำบลคึกคักและหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ต้องจัดการจราจรให้ใช้ช่องทางอีกฝั่งที่น้ำไม่ท่วมให้รถวิ่งสวนทางกัน ขณะที่ร้านค้าริมถนน ต้องเร่งขนของขึ้นที่สูง 

ล่าสุดทางนายสิริธร บัวแก้ว รองนายกเทศมนตรีตำบลคึกคัก พร้อมด้วยนายสงบ สะโตน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงา นำเจ้าหน้าที่เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมอย่างเร่งด่วน ขณะที่ในพื้นที่ยังคงมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าจุดนี้เป็นจุดที่น้ำท่วมซ้ำซากอยู่เป็นประจำหากเกิดฝนตกหนัก เนื่องจากปัญหาการออกแบบก่อสร้างถนนของกรมทางหลวงที่ไม่มีระบบระบายน้ำที่ดีรับกับพื้นที่ จึงอยากวิงวอนให้กรมทางหลวงเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

19 ตุลาคม ‘วันเทคโนโลยีของไทย’ เทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย หลังทรงพระกรุณาบัญชาการปฏิบัติการทำฝนสาธิตด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515

นอกจากจะทรงเป็นนักปกครองแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงมีอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และได้กำหนดให้ วันที่ 19 ตุลาคม เป็นวันเทคโนโลยีของไทย 

สาเหตุที่กำหนดให้วันที่ 19 ตุลาคม เป็นวันเทคโนโลยีของไทย เนื่องจาก เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ด้วยพระปรีชาสามารถในการค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการทำฝนหวังผล ให้ตกในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศสิงคโปร์ที่กำลังประสบภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับสภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้น ขอส่งนักวิทยาศาสตร์มาสังเกตการณ์และขอรับถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญใน การปฏิบัติการทำฝนหวังผลในประเทศไทย 

ในการนี้ทรงพระกรุณารับบัญชาการปฏิบัติการสาธิตด้วยพระองค์เอง ทรงกำหนดให้อ่างเก็บน้ำของเขื่อนแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีพื้นที่ผิวน้ำเพียง 46.5 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,162.5 ไร่ เป็นพื้นที่เป้าหมายหวังผลในการปฏิบัติการทำฝนสาธิตครั้งนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยปฏิบัติการค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการทำฝนหวังผลที่ผ่านมา ทรงปฏิบัติการฯสาธิต ในวันที่ 19ตุลาคม 2515 ณ ศูนย์บัญชาการฯ สันเขื่อนแก่งกระจาน ทรงสามารถบังคับหรือชักนำฝนให้ตกลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจานอย่างแม่นยำภายในเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนับจากเริ่มปฏิบัติการ เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาและเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่นักวิทยาศาสตร์สิงคโปร์ และข้าราชบริพารที่เป็นข้าราชการและข้าราชบริพารระดับสูงที่เฝ้าฯ สังเกตการณ์อยู่ ณ ที่นั้น ต่างประทับใจในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถ  

การสาธิตฝนครั้งนั้น ถือเป็นต้นกำเนิดเทคโนโลยีฝนหลวงที่พัฒนาเป็นการทำฝนมาถึงปัจจุบัน และเพื่อจารึกไว้เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2543  คณะรัฐบาลจึงมีมติให้เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็น 'พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย' และกำหนดให้วันที่ 19 ตุลาคมของทุกปีเป็น 'วันเทคโนโลยีของไทย' เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด โดยได้ทรงศึกษาค้นคว้าวิจัย และทรงนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนเป็นการแสดงเทคโนโลยีที่คิดค้นประดิษฐ์ และพัฒนาโดยคนไทย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้สาธารณชนเกิดความเชื่อมั่นและเข้าร่วมพัฒนาเทคโนโลยีของไทย 

นอกจาก 'โครงการฝนหลวง' แล้ว พระองค์ยังทรงเป็นนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์ ดังจะเห็นได้จากโครงการในพระราชดำริ และที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ หลายด้าน ตัวอย่างเช่น 

กังหันน้ำชัยพัฒนา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้น  'เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย' หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เพื่อทำหน้าที่เติมออกซิเจนลงไปในน้ำ เป็นการลดมลภาวะทางน้ำถือได้ว่า เป็นประวัติศาสตร์ของการออกสิทธิบัตรแก่สิ่งประดิษฐ์ของไทย

อุลตร้าแมนยักษ์ของ ‘ไฮโซปอ’ ล้มคอหัก ผวาลางบอกเหตุ

จากกรณีเมื่อวันที่ (3 ตุลาคม 2565) ที่ผ่านมา ไฮโซ ‘ปอ-ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์’ ได้นำรูปปั้น ‘อุลตร้าแมน’ ความสูง 5 เมตร ไปตั้งถวายแก้บนไว้ที่วัดเจดีย์ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเป็นการแก้บน หลังจากที่ตนได้สมหวังดังที่ขอไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ยังสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีขนาดตัวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

แต่แก้บนไม่ถึงครึ่งเดือน ล่าสุดวันที่ 18 ตุลาคม 2565 เพจสมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช เผยภาพอุลตร้าแมนที่ไฮโซปอไปแก้บนนอนล้มลงพื้น พร้อมระบุข้อความที่อ่านแล้วถึงกับสะดุ้งว่า “ล้มแล้ว อุลตร้าแมน แก้บน เสี่ยปอ วัดไอ้ไข่ล้ม คอหักนอนแคงเหมือนรถทัวร์พลิกแล้ว ส่งสัญญาณ ไอ้ไข่ไม่เอาคนผิดจริงหรือไม่ วิญญาณแตงโมแรง ครับลางบอกเหตุบางอย่าง มีจริง”

ครม. เคาะงบกว่า 6 พันล้าน สร้าง 2 สะพานใต้ ข้ามทะเลสาบสงขลา + สะพานเชื่อมเกาะลันตา

ครม.ไฟเขียว สร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา และ สะพานเชื่อมเกาะลันตา รวมวงเงิน 2 โครงการ 6,695 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจ พร้อมช่วยประชาชนเดินทางสะดวก

(18 ตุลาคม 2565) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม. อนุมัติดำเนินงานก่อสร้าง โครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา – อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ของกรมทางหลวงชนบท ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2566 - 2568 วงเงินรวมทั้งสิ้น 4,841 ล้านบาท 

โดย ครม. กำชับ การดำเนินโครงการ จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากพื้นที่โครงการ อยู่ใกล้ เขตพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง เพียง 6 กม. เป็นบริเวณที่มีการกำหนดเป็นเขตคุ้มครอง โลมาอิรวดี ซึ่งในประเด็นนี้ธนาคารโลก ซึ่งจะเป็นผู้ให้กู้ตามโครงการ ได้แสดงความห่วงใยมา 

โครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา จะช่วยลดระยะทางในการเดินทาง ระหว่างอำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา – อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง จาก 80 กิโลเมตร เป็น 7 กิโลเมตร และลดระยะเวลาในการเดินทางจาก 2 ชั่วโมง เป็น 15 นาที ช่วยพัฒนาเส้นทางการขนส่งโลจิสติกส์ และเส้นทางท่องเที่ยวสายใหม่ เชื่อมโยงทะเลอันดามัน – อ่าวไทย เชื่อม 3 จังหวัด คือตรัง – พัทลุง – สงขลา

ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ให้กับพื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง ช่วยบรรเทาปริมาณจราจร ของถนนทางหลวง และแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด ช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทาง และในกรณีเกิดภัยพิบัติ สามารถอพยพประชาชนในพื้นที่ได้รวดเร็วทันการณ์ และยังช่วยสนับสนุนและอำนวยความสะดวก ด้านพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมการบริการ และการท่องเที่ยว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และการบริการโลจิสติกส์ในพื้นที่

กลุ่มผู้เรียกร้องที่ดินทำกินยื่นฟ้องศาล จนท.รื้อบ้านพักไม่แจ้งล่วงหน้า

กลุ่มผู้เรียกร้องที่ดินทำกิน ยื่นศาลปกครองเอาผิด จนท.รื้อบ้านพักในสวนปาล์ม ชี้ผิด กม.ไม่แจ้งเตือนล่วงหน้า ขอชดใช้หลังละ 5 หมื่น

วันที่ 18 ตุลาคม นายชูวงศ์ มณีกุล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กลุ่มผู้เรียกร้องที่ดินทำกิน จ.กระบี่ ยื่นฟ้องศาลปกครองภูเก็ต ให้เอาผิดเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีเข้ารื้อบ้านพัก ของกลุ่มชาวบ้านผู้เรียกร้องที่ดินทำกิน ในนามกลุ่ม ชุมชนบางสันพัฒนา ต.ปลายพระยา อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ที่สร้างอยู่ในสวนปาล์มน้ำมันของเอกชน ที่หมดอายุสัมปทาน มาตั้งแต่ปี 2558 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 65 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า เข้าตรวจสอบอาวุธและยาเสพติด แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย หลังจากนั้น นำรถแบ๊กโฮเข้ารื้อทำลายบ้านพักของชาวบ้านรวม 51 หลัง ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหายบางส่วน เนื่องจากขนย้ายออกไม่ทัน ทำให้กลุ่มชาวบ้าน รวมกว่า 100 คน ไม่มีที่อยู่อาศัย

นายชูวงศ์กล่าวว่า เชื่อว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ป่าไม่ได้มีการติดป้ายแจ้งเตือนให้ออกจากพื้นที่ล่วงหน้า ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ในการสั่งให้ผู้หนึ่งผู้ใดออกจากป่าสงวนแห่งชาติหรือให้งดเว้นการกระทำใดๆ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดซึ่งหน้า เนื่องจากกลุ่มชาวบ้าน ได้เข้าอาศัยอยู่ในพื้นที่ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557

และการดำเนินการดังกล่าวกระทำโดยปราศจากหลักมนุษยธรรมส่งผลให้เด็กเยาวชน ผู้ป่วยติดเตียง หลายคน ไม่มีที่พักอาศัย จึงยื่นฟ้องศาลปกครอง เพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ผู้สั่งการให้เกิดความเสียหายในครั้งนี้ ชดใช้ความเสียหายของบ้านพัก หลังละ 5 หมื่นบาท


ที่มา : https://www.matichon.co.th/region

น้ำทะลักเข้าบ้านเรือนในซอยพะเนียง-สามกอง 1 ชาวบ้าน ชี้!! น้ำท่วมปีนี้หนักสุดในรอบหลายสิบปี

อ่วม! ท่วมครั้งที่ 6 ในรอบปี ชาวบ้านซอยพะเนียง และซอยสามกอง 1 จ.ภูเก็ต ยังเดือดร้อน ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนไม่ลด บอกปีนี้หนักที่สุด ในรอบหลายสิบปี บางส่วนย้ายหนีไปอยู่บ้านญาติชั่วครัว ทิ้งทรัพย์สินให้จมน้ำ

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในซอยพะเนียง และซอยสามกอง 1 ยังคงมีน้ำท่วมขังสูง 50-80 ซม. ในบางจุดไหลเข้าท่วมขังในบ้านเรือนของประชาชน ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก บางรายที่มีเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ต้องย้ายออกไปอยู่ที่บ้านญาติชั่วคราว

ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามีรถจักรยานยนต์หลายคันถูกจอดทิ้งอยู่ในน้ำ รวมถึงสิ่งของมีค่าอื่นๆ แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำออกแต่ระดับน้ำลดลงอย่างช้าๆ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ลุ่ม และมีฝนตกลงมาเป็นระยะๆ ทำให้ยังมีมวลน้ำที่ไหลลงมาจากเนินเขาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาพื้นที่ด้วย แต่หากฝนไม่ตกคาดว่าระดับน้ำจะแห้งภายใน 1-2 วันนี้

นายธนาธร แสงนาค ชาวบ้านซอยพะเนียง กล่าวว่า อาศัยอยู่ในซอยดังกล่าวมากว่า 30 ปี น้ำท่วมครั้งนี้ถือว่ารุนแรงมากที่สุด เพราะที่ผ่านมาแม้จะมีน้ำท่วม แต่จะท่วมอยู่บนพื้นถนน แต่ครั้งนี้ระดับน้ำสูงจนไหลเข้ามาในบ้าน และปัญหานี้ถือเป็นปัญหาซ้ำซาก ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ทราบดี เพราะทุกครั้งที่ฝนตกบริเวณนี้จะมีน้ำท่วมทุกครั้ง จนเกิดความรู้สึกหลอนทุกครั้งที่เห็นเมฆฝนตั้งเค้า

มณฑลทหารบกที่ 44 จัดพิธีน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2565

วันที่ 12 ตุลาคม 2565 เวลา 07.00 น. พันเอก พศิษฐ์ ชาญเลขารองบัญชาการมณฑลทหารบกที 44 ประธาน ในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล พิธีวางพวงมาลา และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยกำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 44 ณ สโมสรนายทหารค่ายเขตอุดมศักดิ์

‘แม่’ ร้อง ‘ปวีณา’ แจ้งจับพ่อแท้ๆ ขืนใจลูกสาวตั้งครรภ์ 3 เดือน

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางแหม่ม (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี แม่ ด.ญ.ฟ้า (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี เข้าร้อง มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี ว่า ลูกสาวถูก นายอ้ำ (นามสมมุติ) อายุ 43 ปี พ่อแท้ๆ ข่มขืนกระทำชำเราจนตั้งครรภ์ 3 เดือน แต่ลูกสาวเพิ่งมาเล่าความจริงให้ฟัง จึงมาขอให้ช่วยติดตามคดีเอาเรื่องให้ถึงที่สุด จากนั้น นางปวีณา ได้ประสานไปยัง ผกก.สภ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช กระทั่งมีการจับกุมพ่อแท้ๆรายนี้มาสอบสวนดำเนินคดี ก่อนคุมตัวส่งศาลฝากขังแล้ววันนี้

สืบเนื่องจากนางแหม่มเลิกรากับนายอ้ำ พ่อเด็กมาได้ 8 ปี แล้วไปอยู่กินกับสามีใหม่ที่ จ.นครนายก ส่วนนายอ้ำ ก็มีภรรยาใหม่อาศัยอยู่จ.นครศรีธรรมราช มีอาชีพขี่รถเร่ขายไอศกรีม ช่วงเดือน มิ.ย.65 ลูกสาวขอไปอยู่กับปู่ย่าที่ จ.นครศรีธรรมราช และตั้งใจจะเรียนหนังสือที่นั่นจึงให้ไป แต่นายอ้ำมาพาไปเร่ขายไอศกรีมด้วย กระทั่งวันที่ 18 มิ.ย. หลังขายของเสร็จกลับห้องเช่าขณะภรรยาใหม่ไม่อยู่ แล้วข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ก่อนพามาส่งที่บ้านปู่ย่า น้องฟ้าไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะกลัวพ่อทำร้าย ผ่านไปกว่า 2 เดือน ประจำเดือนไม่มา จึงรู้ตัวว่าท้อง รีบโทรศัพท์มาบอกนางแหม่ม จึงมารับกลับไปมาอยู่ด้วย แต่ตนมีฐานะยากจน จึงประสงค์จะขอยุติการตั้งครรภ์ลูกสาว และดำเนินคดีกับพ่อแท้ๆ ให้ถึงที่สุด จึงมาร้องมูลนิธิปวีณาฯ ช่วย

หลังรับเรื่อง นางปวีณา ประสาน พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ บุญล้น ผกก.สภ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช และ น.ส.ศรุดา ศรีสุขใส หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จ.นครศรีธรรมราช กระทั่งวันที่ 5 ต.ค. ได้ให้เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ มารับตัวสองแม่ลูกที่สถานีรถไฟนครศรีธรรมราช แล้วพาเข้าแจ้งความ จากนั้น พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ สั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำแม่ และนัดสอบสหวิชาชีพร่วมสอบปากคำเด็ก วันที่ 7 ต.ค. และทำหนังสือส่งตัวให้เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ พาเด็กไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เพื่อยุติการตั้งครรภ์ตามความประสงค์ของแม่ ขณะนี้น้องฟ้าปลอดภัยดี


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. South Time Thailand
Take Me Top