Friday, 29 March 2024
NEWSFEED

ลุงป้อม ลุยงาน ประชุม 2 คณะรวด

วันที่ 19 เม.ย. 2566 พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม 2 คณะ ต่อเนื่องกัน คือคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ

 

โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปล.ทส. และ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปล.กห. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เวลา 09.30 น. ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ เรื่องสำคัญเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จากกรณีพื้นที่นิคมสร้างตนเองทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

โดยมีมติให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี บางส่วนในท้องที่ ต.บ่อนอก ต.อ่าวน้อย ต.เกาะหลัก ต.คลองวาฬ ต.ห้วยทราย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ตาลและป่าแม่ยุย และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่หาด บางส่วน ที่ทับซ้อนกับพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ในท้องที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ พ.ศ. 2512 และให้นำเสนอ ครม. ต่อไป

 

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ประชุมต่อเนื่อง คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่18) พ.ศ. 2566 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 19 มี.ค. 2566 โดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วย มาตรการควบคุมการทิ้งขยะในทะเล จากเรือและแท่น ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และได้พิจารณาเห็นชอบ กำหนดสถานีสำรวจติดตามสถานภาพทรัพยากร ”หญ้าทะเล” จำนวน 128 สถานี

 

เพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลให้คงอยู่อย่างยังยืน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยพบแหล่งหญ้าทะเลครอบคลุมพื้นที่ 17 จังหวัด ชายฝั่งอ่าวไทย และทะเลอันดามัน รวมพื้นที่ประมาณ 160,628 ไร่ และจะนำมาบรรจุในรายงานสถานการณ์ฯ ประจำปีต่อไป พร้อมทั้งได้เห็นชอบ การกำหนดมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครอง "วาฬบรูด้า" จากกิจกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 116 ตัว และมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 8,000 คน/ปี ซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้น และมีความเสี่ยงอันตราย อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิต และพฤติกรรมทางธรรมชาติของ "วาฬบรูด้า" ในอนาคตอันใกล้ได้

 

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณ ทส. ในการขับเคลื่อนงานซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกำชับ ทส. และหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ปฏิบัติตามมติของที่ประชุม คกก. โดยเคร่งครัดคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชน/ประเทศชาติ จะได้รับเป็นสำคัญ และเพื่อการอนุรักษ์/ใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อย่างยั่งยืน และเพื่อลูกหลานคนไทยสืบไปต่อไป

ตรวจสอบสิทธิเลือกตั้ง ต้องไปลงคะแนนที่ไหน เช็กได้เลย

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดให้ประชาชนทั่วไปที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในปี 2566 นี้ ตรวจสอบสิทธิเลือกตั้งของตัวเองได้แล้วตั้งแต่วันอังคารที่ 18 เมษายน โดยเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์สำนักบริหารการทะเบียน ตามลิงค์ข้างล่างนี้

 

https://boraservices.bora.dopa.go.th/election/enqelection/

"ชัยวุฒิ" กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร

วันนี้ (18 เม.ย. 66) เมื่อเวลา 15.20 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการยกเลิกการเกณฑ์ทหารของบางพรรคการเมืองว่า

 

ทุกคนเห็นต่างกันได้ พรรคการเมืองที่มีความเห็นไม่ตรงกับพรรคพลังประชารัฐ ก็จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเรา ตนก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองอื่น เช่นเดียวกัน ถือเป็นการใช้สิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะที่มีบางพรรคพูดถึงเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีนโยบายนี้

 

เราเห็นด้วยกับการคงนโยบายการเกณฑ์ทหารไว้ และให้มีการพัฒนากองทัพ ให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพราะเราเชื่อว่าความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเรื่องของการเกณฑ์ทหารมีระบบการสมัครใจอยู่แล้ว หัวใจสำคัญคือ ต้องดูแลทหารให้ดีขึ้น ให้คนที่ผ่านการเกณฑ์หรือสมัครเข้ามาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนที่ดี

 

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่อยากให้ทำนโยบายที่คิดถึงแต่ความนิยม หรือเอาใจประชาชน จนทำให้เกิดค่านิยมที่ผิด ค่านิยมไม่เสียสละเพื่อแผ่นดิน ตนไม่อยากใช้คำว่าชังชาติ แต่คิดว่าเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง อยากให้มองว่ากองทัพเป็นสิ่งสำคัญ ต้องช่วยกันสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เพราะนี่คือความมั่นคงของชาติที่จะเป็นหัวใจสำคัญในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของเราเดินหน้า ต่อไปได้ด้วย

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายพรรคมองว่านโยบายการเกณฑ์ทหารควรได้รับความสมัครใจจากผู้ที่ประสงค์จะสมัครเป็นทหาร นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เป็นแนวคิดของพรรคการเมืองอื่น ซึ่งในข้อเท็จจริงวันนี้เรามีแผนพัฒนากองทัพ และมีการวางแผนใช้กำลังทหารอยู่แล้ว และปัจจุบันมีการปรับลดจำนวนทหารเกณฑ์ จาก 100,000 คนเหลือเพียง 6 หมื่นคน แต่ปัจจุบันผู้ที่สมัครเข้ามามีจำนวนไม่เพียงพอ จึงยังต้องคงระบบการเกณฑ์ทหารเอาไว้ ตนเชื่อว่าภัยคุกคามประเทศยังคงมีอยู่ บางเรื่องที่นักการเมืองไม่รู้แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ ก็ควรจะรับฟังและพูดคุยกันด้วยเหตุผล

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงผลโพลที่ออกมา ที่ระบุว่าพล.อ.ประวิตร เป็นอันดับ 1 ในการก้าวข้ามความขัดแย้ง นายชัยวุฒิ กล่าวว่า นี่เป็นนโยบายหลักของพรรคอยู่แล้ว พล.อ.ประวิตร มีแนวคิดและแนวทางในการทำงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว ในเรื่องของการประนีประนอม และพูดคุยกับทุกฝ่าย ทุกวันนี้สังคมไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดโต่ง มีทั้งฝ่ายซ้ายจัด ขวาจัด บางคนก็อยากเปลี่ยนประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นการเปลี่ยนที่ไกลเกินไป จนคนไทยรับไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต รวมถึงบางคนที่คิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องของครอบครัว มากเกินไป ก็จะทำให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งรับไม่ได้เช่นกัน

 

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง อาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และทำให้บ้านเมืองมีปัญหาในอนาคต พล.อ.ประวิตร จึงต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง รับฟังทุกกลุ่มทุกฝ่าย ประสานให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ ที่สำคัญคือเราคิดต่างกันได้ แต่ต้องมาหาทางออกร่วมกัน

 

“เชื่อว่าลุงป้อม จะเป็น Soft Power ที่จะทำให้ทุกคนมาทำงานร่วมกันได้ และสามัคคีกันได้ และเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศชาติของเราเดินหน้าไปได้ ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดีก้าวข้ามความขัดแย้งก้าวข้ามความยากจน"

 

เมื่อถามว่า ในโพลอันดับความนิยม หรือแคนดิเดตนายกฯ พล.อ.ประวิตร ยังไม่ติด อันดับเลย นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนก็ติดตามการทำโพล มีการไปสอบถาม กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ให้ความเห็น แต่ในโพลที่เราทำมา เราก็มีคะแนนนิยมอยู่พอสมควร

 

"ผมเชื่อว่าคนที่รัก พล.อ.ประวิตร และเข้าใจแนวทางของพรรค และชอบนโยบายมีเยอะ เพียงแต่คนเหล่านี้ไม่ได้ไปตอบโพล ซึ่งสิ่งนี้ทำให้คะแนนในโพลเราอาจจะไม่ดี แต่ผมเชื่อว่าคะแนนนิยมของจริง เราดี เราเป็นนายกในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่นายกฯ ในโลกออนไลน์ และสิ่งที่เราทำเราทำจริง ไม่ได้คิดไกลเกินไป คิดในสิ่งที่ทำได้"

 

เมื่อถามว่าในช่วงโค้งสุดท้ายจะมีนโยบายอะไรที่โดนใจประชาชนหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า นโยบายเราเปิดไปเยอะแล้ว แต่ตนคิดว่า ก็ต้องประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนรับรู้มากขึ้น ประชาชนอาจยังไม่เข้าใจนโยบายของพรรคในบางจุด เราจะพยายามทำให้มากขึ้น

ตัวเต็งนายกฯ จับตามองที่ 'อุ๊งอิ๊ง-อนุทิน-ลุงตู่' ส่วนพิธา 'ก้าวไกล' ตัดทิ้งไปได้เลย

(18 เม.ย.66) ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ 'เปลวสีเงิน' ได้นำเสนอบทความในหัวข้อ...นายกฯ 'รำไรๆ' ใต้ขนตา...ระบุความว่า...

 

ใคร ๆ ก็มองว่า ลุงป้อมจะไปตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย ที่เขาเอาตำแหน่งนายกฯ มาล่อ หวังแลกมือ ส.ว. สนับสนุนในรัฐสภา

 

เขาล่อน่ะ…ล่อจริง

แต่ผมเชื่อ ลุงป้อมไม่ยอมให้ล่อหรอก!

 

เพราะอะไรน่ะหรือ ในมุมมองผมนะ ผมเชื่อศักดิ์ศรีขุนทหารระดับ 'แม่ทัพ' กองทัพไทยของลุงป้อม

 

ถ้าโลภ จนหลง ยึดประโยชน์ตนเหนือประโยชน์ชาติ วิเคราะห์สถานการณ์ไม่ขาด อ่านเกมฝ่ายตรงข้ามไม่ออก

 

ทำเนียบกองทัพไทย...จะไม่มีคนชื่อ 'พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ' บรรจุอยู่ในตำแหน่ง 'ผู้บัญชาการทหารบก' ได้แน่นอน!

 

นั่นอย่างหนึ่ง...

 

และอีกอย่างหนึ่ง ระดับผู้บัญชาการกองทัพ ต้องเข้าพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงกล่าวนำมาแล้ว

 

ที่จะให้ 'พลเอกประวิตร' ไปตั้งรัฐบาลกับพรรคที่มีแนวทางอสัตย์ต่อ 'ชาติ-ศาสน์-พระมหากษัตริย์' เลิกมาตรา ๑๑๒ เมื่อได้เป็นรัฐบาล แบบนั้น

 

พลเอกประวิตร 'ไม่ทำ' แน่นอน!

 

อย่างสุดท้าย...คุณเคยได้ยินคำนี้มั้ย 'เพื่อนร่วมตาย' เหนือกว่า 'พี่น้องสายโลหิต'

 

คนเราน่ะ ต่างที่เกิด ต่างที่มา วันหนึ่ง มีวาสนาได้รู้จักกัน คบหากัน กินนอนด้วยกัน ร่วมเป็น-ร่วมตายด้วยกัน ใจผูกเป็นพี่-เป็นน้องกัน

 

อย่างพลเอกประวิตร-พี่ใหญ่, พลเอกอนุพงษ์-พี่รอง, พลเอกประยุทธ์-น้องเล็ก...ไม่ต่างเหล็กไหล ต่อให้ใช้แสงเลเซอร์ตัด ยืดปานจะหยด แต่ยังไง ๆ ก็ตัดเหล็กไหลไม่ขาด!

 

ความผูกพันของ ๓ ป. เท่าที่ผมดู จะทะเลาะกันบ้าง ขัดใจกันบ้าง งอนกันบ้าง ถึงขั้น 'แตกพรรค-แตกขั้ว' ออกไปจากกันก็เถอะ แต่ก็นั่นแหละ ไหลยืดปานจะขาดจากกัน แต่มันก็ 'ตัด' กันไม่ขาด!

 

การแตกพรรค ที่ดูเหมือนแตกกัน นั่นมันแค่ 'ยุทธศาสตร์การเมือง' ที่มีแกนยึด จะไม่ 'แตกสามัคคี' จนนำไปสู่การกระทำให้ 'ชาติบ้านเมืองแตก'

 

เชื่อผมเถอะ ชั่ว, ดี, ถี่, ห่าง อย่างไร 'ทหารเสือนวมินทราชินี' คือ ผู้แก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ผู้สร้างปัญหาให้ชาติบ้านเมือง

 

ฉะนั้น ผมจึงอยากบอกลุงป้อมว่า ท่านน่ะ 'เลือดผู้นำ' ที่จะให้นั่งอยู่ในรู ปล่อยให้ลูกน้องออกไปสู้ตามลำพังน่ะ นั่นไม่ใช่วิสัยลุงป้อม

 

ใจบันดาลแรงท่านก็จริง แต่แดดมันแรง การเดินสายหาเสียง ตะกายขึ้นแต่ละเวที คนไม่เคย ไม่รู้หรอกว่า มันสาหัส-สากรรจ์ขนาดไหน?

 

ผมมองการณ์ข้างหน้า 'หลังเลือกตั้ง' อยากจะบอกว่า รัฐบาลข้างหน้า จะขาดลุงป้อมไม่ได้!

 

ฉะนั้น ลุงป้อมจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ต้องถนอมตัวไว้ ยังไง ๆ พรรคพลังประชารัฐก็ต้องร่วมเป็นรัฐบาลกับฝ่ายที่ 'ไม่ล้มเจ้า' อยู่แล้ว

 

แล้วมีพรรคไหนบ้างล่ะ ที่ไม่มีแนวทางล้มเจ้า? ก็มีพรรคภูมิใจไทย, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, ชาติไทยพัฒนา, ไทยสร้างไทย, ไทยภักดี, ชาติพัฒนากล้า เป็นต้น

 

รัฐบาลหน้า ก็จะอยู่ในกลุ่มพรรคเหล่านี้ ส่วนพรรคไหนจะมี ส.ส. มากที่สุด ได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงจะเอาใครเป็นนายกฯ? นั่นมันเรื่องข้างหน้า

 

ตราบใดที่ยังไม่เลือกตั้ง แต่ละพรรคยังไม่มีตัวเลขมาแบบโต๊ะพูดจา การยกมาพูดตอนนี้ ไม่ต่างกับว่า..."ถ้าได้แต่งกับนางงามจักรวาล จะให้ลูกเรียนโรงเรียนไหนดี?"

 

มันเพ้อเจ้อข้ามขั้นตอนมากไป ไปหานางงามจักรวาลมาแต่งให้ได้ซะก่อนเหอะ แล้วค่อยมาคุยเรื่องมีลูก เรื่องโรงเรียน!

 

พรรคภูมิใจไทย ของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล โพลทุกสำนักฟันธงว่า จะได้ ส.ส.มากเป็นอันดับ ๒ รองจากพรรคเพื่อไทย และเป็นพรรคเดียวในกลุ่มพรรคไม่ล้มเจ้า ที่จะได้ ส.ส.ถึงหลักร้อย คือมากกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป!

 

ส่วน 'พรรครวมไทยสร้างชาติ' ของนายกฯ ประยุทธ์ เขาประเมินกันแค่ ๔๐ กว่า ส.ส. เท่านั้น

 

ถ้าผลเลือกตั้งเป็นตามนี้ ภูมิใจไทยของคุณอนุทิน คือตัวชี้ว่า ฝ่ายไหนจะได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล? ถ้าไปรวมกับเพื่อไทย เสียงกว่าค่อนสภา ตั้งรัฐบาลได้เลย

 

แต่ผมไม่เชื่อ เหมือนที่ไม่เชื่อว่าลุงป้อมจะไปตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายล้มเจ้า

 

พรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ก็ต้องแข่งกันรวบรวมเสียงว่า ในจำนวน ๕๐๐ ส.ส. ใครจะรวบรวมได้เกินครึ่ง คือ มากว่า ๒๕๑ เสียงขึ้นไปได้ก่อนกัน

 

นี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในการจะเลือกโดยตกลงกันว่า จะให้ใครเป็นนายกฯ?

 

ใช่ว่าพรรคไหนมีเสียงมาก ก็จะเป็นนายกฯ ได้ทันที เว้นแต่พรรคนั้น มี ส.ส. 'พรรคเดียว' เกินครึ่ง!

 

สรุปตาม 'คณิตศาสตร์ส.ส.'จากโพล...

>> อุ๊งอิ๊ง นายกฯ ฝ่ายแดง

>> อนุทิน นายกฯ ฝ่ายน้ำเงิน

 

แต่จากเสียง 'พลังเงียบ' ที่เป็นคลื่นใต้น้ำบอกว่า ๑๔ พฤษภาคมนี้ เขาจะออกไปเลือกรวมไทยสร้างชาติ ทั้งพรรค ทั้ง ส.ส.เขต

 

บัตรสีเขียว เลือกพรรค เขาจะ X เบอร์ ๒๒ พรรครวมไทยสร้างชาติ

 

บัตรสีม่วง เขาจะ X เบอร์ สส.เขต ของพรรครวมไทยสร้างชาติ

 

ต้องการให้ 'พลเอกประยุทธ์' เป็นนายกฯ ต่อ!

 

เออ…ทั้งโพล ทั้งพลังเงียบนอกโพล เขาว่างี้ ก็หมายความว่า ตัวชิงเข้าวิน มี ๓ ตัว คือ 'อุ๊งอิ๊ง-อนุทิน-ลุงตู่' ส่วนพิธา 'ก้าวไกล' ตัดทิ้งไปได้เลย!

 

สรุป ฟันธง… ถ้าฝ่ายแดงแลนด์สไลด์ อุ๊งอิ๊ง นายกฯ ไร้คู่แข่ง

 

ถ้าไม่แลนด์สไลด์ ฝ่ายน้ำเงินตั้งรัฐบาล 'ลุงตู่-อนุทิน' คนใด-คนหนึ่ง เป็นนายกฯ!

ศศิกานต์ อึ้ง รทสช. กระแสดี แต่ ยังมีคนไม่รู้ ลุงตู่อยู่รวมไทยสร้างชาติ

(17 เม.ย. 66 ) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัคร ส.ส. เขตบางแค ภาษีเจริญ หมายเลข 7 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้พูดถึงการรณรงค์หาเสียงในพื้นที่เขตบางแค ภาษีเจริญ ว่า

 

ตนเองเน้นเรื่องการลงพื้นที่ พบปะ พี่น้องประชาชน พยายามเข้าถึงพูดคุยทุกบ้าน ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก และพบว่ามีพลังเงียบที่เป็นกองเชียร์ลุงตู่เยอะมาก มีหลายคนอาสาเข้ามาช่วยงานโดย ไม่คิดค่าจ้าง เช่น แจกใบปลิวและช่วยติดป้าย

 

รวมถึงช่วยเป็นเพื่อนเดินหาเสียงในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตลอดจนแจ้งข่าวสารในพื้นที่ เช่น ป้ายบริเวณซอยนั้นไม่มี ป้ายซอยนี้พัง ให้มาซ่อม อย่างนี้เป็นต้น ทำให้ยิ่งเดินก็ยิ่งมั่นใจในกระแสพรรคมากยิ่งขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกเรื่องที่ต้องเร่งชี้แจงให้ประชาชนรับทราบโดยด่วน เพราะจากการลงพื้นที่ทำให้ทราบว่า ยังมีพี่น้องประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่ทราบว่าลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ หลายคนคิดว่า ลุงตู่ ยังอยู่พรรคเดิมเหมือนเมื่อการเลือกตั้งปี 62 ซึ่งตนเอง และทีมงานก็ได้พยายามประชาสัมพันธ์ และสื่อสารให้พี่น้องประชาชนทราบให้ทั่วถึงที่สุดว่า ลุงตู่อยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าพี่น้องเลือกจิ๊บ เป็นส.ส.เขต จะได้ลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี มาทำงานต่อ

กกต. เผย ”รทสช.” ถูกบริจาคเงินให้เยอะสุด

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้บริจาค และจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่พรรคการเมือง ประจำเดือน ม.ค. 66 โดยพบว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มียอดได้รับการบริจาคสูงสุดถึง 26 ล้านบาท รองลงมา เป็นพรรคเพื่อไทย (พท.) ยอดได้รับบริจาค 12 ล้านบาท และอันดับสาม พรรคชาติไทยพัฒนา (ชพท.) ยอดได้รับบริจาค 9.8 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ในรายละเอียดพบว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มียอดบริจาค 19 รายการ รวมวงเงิน 26,004,500 บาท ผู้บริจาคที่น่าสนใจ เช่น นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และอดีตรองอธิการบดี ม.กรุงเทพธนบุรี (เคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น) บริจาค 5 ล้านบาท, น.ส.สุทธาพัฒน์ อมรเรืองตระกูล บริจาค 5 ล้านบาท, น.ส.เสาวณี อนุกูล บริจาค 5 ล้านบาท

 

ส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) มียอดบริจาค 5 รายการ รวมมูลค่า 12 ล้านบาท เป็นบริษัทเอกชนทั้งหมด ได้แก่ บริษัท คลีน คลีน จำกัด 3 ล้านบาท, บริษัท อิมพีเรียล เวิลด์ ไอซ์สเก็ตติ้ง จำกัด 2 ล้านบาท, บริษัท เวิลด์ เทคโนโลยี จำกัด 2 ล้านบาท, บริษัท บิสิเนส ทาวน์ จำกัด 3 ล้านบาท, บริษัท ตั้งเซ่งฮงหนองคาย จำกัด บริจาค 2 ครั้ง รวม 2 ล้านบาท

 

ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) มีคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา ภริยานายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี บริจาค 9.8 ล้านบาท

 

ส่วนพรรคอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น พรรคก้าวไกล ยอดบริจาค 571,919 บาท, พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยอดบริจาค 527,000 บาท, พรรคภูมิใจไทย ยอดบริจาค 1.9 ล้านบาท, พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ยอดบริจาค 1.7 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค บริจาค 1 ล้านบาท, พรรคเศรษฐกิจไทย ยอดบริจาค 7.1 แสนบาท, พรรคพลังปวงชนไทย ยอดบริจาค 3 แสนบาท, พรรครวมพลัง ยอดบริจาค 8 แสนบาท, พรรคไทยศรีวิไลย์ ยอดบริจาค 1.3 ล้านบาท, พรรคประชาชาติ ยอดบริจาค 8.3 แสนบาท เป็นต้น

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศศิกานต์ ฟาด พรรคเพื่อไทย แจกเงินหมื่น “เลื่อนลอย “

ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ อย่างกว้างขวางสำหรับนโยบายแจกเงิน ดิจิทัล 10,000 บาทให้แก่ประชาชน อายุ 16 ปีขึ้นไปในระยะเวลา 6 เดือน ภายใต้จำนวนงบประมาณมหาศาลถึง 54 หมื่นล้านบาท ด้วยความวิตกกังวลของหลายฝ่าย ว่าการใช้เงินจำนวนมาก และแจกจ่าย แบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง และระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ก็ยังคงยืนยันถึงความมั่นใจ และประโยชน์ที่จะได้จากการทำโครงการนี้

 

ล่าสุด ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ หรือ จิ๊บ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางแค ภาษีเจริญ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เท่าที่ติดตามการชี้แจงจากแกนนำของพรรคเพื่อไทยหลายคน รวมถึง นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ก็เห็นว่านโยบายดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น เช่น รูปแบบของเงินที่จะออกให้ประชาชนคนละ 1 หมื่นบาท นั้น จะเป็นรูปแบบอะไร มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด อย่างตอนแรกบอกว่าจะแจกเป็นเหรียญดิจิทัล ต่อมาก็บอกจ่ายเป็นคูปองแทน ซึ่งเรื่องนี้ก็อยากจะเรียกร้องให้พูดให้ชัด ๆ เสียที อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนคนฟังสับสน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยากจะย้ำเตือนความจำให้นายเศรษฐารับทราบว่า ที่ผ่านมาทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง ได้ออกมาประกาศชัดเจนตั้งแต่ปีที่แล้ว ถึงประเด็นการใช้จ่าย ชำระสินค้าผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล ว่าไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้บริการเกี่ยวกับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้า

 

เพราะมีความกังวลจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น อาจเกิดความเสี่ยงจากการสูญมูลค่าที่เกิดจากความผันผวนของราคา ความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน ฯลฯ

 

จึงอยากจะถามถึงนายเศรษฐาว่าได้ทราบเรื่องเหล่านี้หรือไม่

 

ศศิกานต์ ยังเผยอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ทางเพื่อไทย ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็น “เหรียญ (คูปอง)”

 

คำถามก็คือ ไม่ว่าจะแจกในรูปแบบอะไรก็ตาม ก็ต้องมีจำนวนเงินงบประมาณจริง ๆ พร้อมจะแจกจ่าย ซึ่งเป็นจำนวนเงินกว่า ห้าแสนสี่หมื่นล้านบาท

 

ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของนายเศรษฐา ได้อธิบายว่า ส่วนหนึ่งนำมาจากเงินภาษีของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สองแสนหกหมื่นล้าน

 

อีกส่วนหนึ่งที่เหลือ นายเศรษฐา ใช้คำว่า "คาดว่า" จะนำมาจากภาษีของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่จะเกิดการหมุนเวียนหลายรอบ

 

การอธิบายดังกล่าวของนายเศรษฐา สะท้อนให้เห็นถึง ความเลื่อนลอย ในประเด็น แหล่งที่มาของเงิน ที่จะนำมาทำโครงการนี้อย่างชัดเจน โดยฝากความหวังไว้กับการเก็บภาษีในอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง เพียงแต่คิดเอาเองว่า จะได้เท่านั้นเท่านี้ แล้วถ้าหากไม่สามารถเก็บได้ตามเป้า จะทำอย่างไร และอย่าลืมว่า เงินที่ได้จากภาษีของรัฐบาลลุงตู่ 2 แสนกว่าล้านนั้น รัฐบาลยังมีรายจ่ายสำหรับการดูแลประชาชนด้านอื่น ๆ อีก ซึ่งถ้าหากนำเงินทั้งหมดมาใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย การดูแลประชาชนด้านอื่นก็จะต้องถูกตัดงบงบประมาณลงไปด้วย

 

แค่ 2- 3 ประเด็นเหล่านี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า นโยบายแจกเงิน คนอายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาทรวมทั้งหมด 54 ล้านคนและใช้เงิน 540,000 ล้านบาทนั้น จะสามารถปฏิบัติจริงได้แค่ไหน

 

และถ้าหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลและฝืนที่จะผลักดันโครงการแบบนี้จริง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาพรวม ของงบประมาณประเทศและระบบเศรษฐกิจของไทย จะเกิดขึ้นมากมายมหาศาลเพียงใด

 

จึงไม่แปลกใจที่ แม้แต่คนที่เป็นกลางทางการเมือง นักวิชาการ อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติหรือใครต่อใครล้วนแล้วแต่แสดงความกังวล และออกมาคัดค้านแนวคิดการแจกเงินดังกล่าวอย่างกว้างขวาง มากขึ้นทุกที เพราะคนที่ออกมาคัดค้านด้วยความห่วงใยไม่ต้องการที่จะเห็น การนำเศรษฐกิจ การคลังของประเทศไปเสี่ยงกับชัยชนะของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง

เด็กลุงตู่ งง เศรษฐา อ้าง แจก 5 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจพร่ำเพรื่อ

(14 เม.ย 66) จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาด้อยค่า นโยบายบัตรสวัสดิการพลัส หรือ บัตรลุงตู่ ที่จะเพิ่มเงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนละ 1,000 บาท ว่า เป็นลักษณะของการหยอดน้ำข้าวต้ม และจะเติมปลาแห้งเข้าไปอีกนิด คงไม่มีอะไรไม่มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น

 

นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตเลือกตั้งที่ 32 บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี เบอร์ 5 พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ออกมากล่าวตอบโต้ว่า ไม่น่าเชื่อว่านักธุรกิจใหญ่อย่างนายเศรษฐา จะไม่เข้าใจเรื่องหลักการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ต้องทำเท่าที่จำเป็นในสถานการณ์ที่ เศรษฐกิจมันเดินไม่ได้อย่างเช่นตอนโควิด-19 อย่างนั้นจึงจะมีความจำเป็นต้องกระตุ้น

 

แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของไทยเริ่มมีลักษณะของการฟื้นตัวอย่างชัดเจนดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็มีการปรับตัวดีขึ้นกำลังซื้อของคนมีมากขึ้น เงินเฟ้อลดลงการว่างงานลดลง นักท่องเที่ยวมากขึ้น การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใส่เงินจำนวนมากเข้าไปในระบบ จึงไม่ใช่มาตรการที่จำเป็นในขณะนี้ และในอีกด้านอาจจะส่งผลต่อเรื่องของเงินเฟ้อที่จะพุ่งขึ้นสูง และราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นตามมา เพราะผู้ประกอบการรู้ว่าจะมีการใส่เงินลงไป ราคาสินค้าก็จะขึ้นไปรอก่อนแล้ว ซึ่งคุณเศรษฐาไม่เคยพูดถึงผลกระทบในมุมแบบนี้บ้างเลย

 

ซึ่งแม้แต่ นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยังออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย กับโครงการนี้ โดยมองว่าเป็นนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงินอีก และบอกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกด้วย และสิ่งสำคัญที่จะชี้ให้เห็นก็คือโครงการบัตรสวัสดิการพลัส ที่นายเศรษฐา บอกว่าเป็นการหยอดน้ำข้าวต้มแล้วเติมปลาแห้งไปนั้น

 

โครงการนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นการดูแลประชาชน ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและมีรายได้น้อย มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ์ อย่างชัดเจนไม่ใช่เวียงแห คนจนคนรวยได้หมดซึ่งมองว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการนำเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศไปใช้จ่ายโดยขาดความรอบคอบ ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ากับราคาที่จะต้องจ่ายไป

 

อยากจะฝากบอกไปยังคุณเศรษฐาว่า ควรจะเอาเวลาไปอธิบายข้อสงสัย เพื่อความกังวล ของประชาชน นักวิชาการ และสื่อมวลชน ที่มีต่อการแจกเงิน 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยน่าจะดีกว่า

 

รวมถึงควรจะเอาเวลาไปบอกกับแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาขู่ว่าจะฟ้องคนที่วิจารณ์โครงการแจกเงินหมื่น ให้คนเหล่านั้นได้เปลี่ยนความคิดใหม่ และเปิดใจให้กว้างในการรับฟัง ความคิดเห็นที่แตกต่างจากพี่น้องประชาชน นักวิชาการและสื่อมวลชน จะดีกว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยนั้นปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็นของผู้ที่คิดต่าง แล้วจะอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างไร นายอิทธิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

 

"จิ๊บ ศศิกานต์" ชี้ ฝีมือ"ลุงตู่" พาชาติพ้นวิกฤต

จากกรณีที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 การจัดกิจกรรมด้านต่าง ๆ นั้นจะทำให้เกิดเงินสะพัดในช่วงสงกรานต์ อยู่ที่ประมาณ 125,203 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ ช่วงปี 2559 ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ทำให้มองได้ว่าเศรษฐกิจนั้นเริ่มกลับมาดีเหมือนเดิมแล้วนั้น

 

ล่าสุด นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัครส.ส.กทม. เขต 30 บางแค ภาษีเจริญเบอร์ 7 จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวนั้นเป็นเครื่องชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เศรษฐกิจของไทยได้ฟื้นตัวแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ในภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องกันตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเนื่องมายังการสู้รบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งโลก วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงาน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบนี้เหมือน ๆ กัน แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของประเทศไหนนั้นจะบริหารประเทศ ให้ผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้ดีกว่ากัน

 

ซึ่งจากตัวเลขข้างต้นนั้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยนั้น เป็นประเทศที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก่อนประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ สังเกตได้จากไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่เปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในช่วงก่อนจะเกิดโรคโควิด-19 แล้ว

 

นอกจากนี้ตัวเลขชี้วัดอื่น ๆ ก็ยังแสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดี ยกตัวอย่างเช่น ภาวะเงินเฟ้อของไทยนั้นอยู่ที่อันดับ 20 ของโลก จากทั้งหมด 134 ประเทศ อัตราว่างงานก็ลดต่ำลงเหลือ 1.3 % เท่านั้น รวมถึงตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เฉพาะแค่ 2 เดือนแรกของปี 66 มีผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ถึง 305% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

แต่ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นกำลังเดินไปสู่ทิศทางที่ดี ก็มีนักการเมืองจากบางพรรคสร้างวาทะกรรมซ้ำซาก โจมตีเศรษฐกิจของประเทศตัวเองให้ดูตกต่ำย่ำแย่ กล่าวหาว่าเศรษฐกิจของไทยตกอยู่ในหุบเหว เศรษฐกิจของบ้านเรากำลังถดถอย ซึ่งการจะพูดถึงเศรษฐกิจให้ถูกต้อง โดยปราศจากอคตินั้น เห็นว่าควรจะต้องเอาตัวเลขออกมากาง ให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ใช่เอาแต่พูดวาทะกรรมอันสวยหรู แต่บิดเบือนข้อเท็จจริง

 

คำว่า เศรษฐกิจดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องร่ำรวยกันหมดทุกคน แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ดีนั้น ระบบเศรษฐกิจจะต้องมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสัมพันธ์กันทั้งระบบ ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ดี ผู้ประกอบการ ค้าขายก็มีกำไรที่ดี อัตราเงินเฟ้อต่ำลง อัตราการว่างงานก็ลดลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้จากตัวเลขที่ชี้วัด ตัวเลขต่าง ๆ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ตัวเลขไม่โกหกใคร

 

จึงขอเรียกร้องให้นักการเมืองทุกฝ่ายออกมาพูดความจริงกับประชาชน มากกว่าการสร้างวาทะกรรมว่า ประเทศเราย่ำแย่และไม่มีความหวัง การหาเสียงนั้นควรจะแข่งกันนำเสนอนโยบายที่จะทำให้กับประชาชน โดยเป็นนโยบายที่ทำได้จริง การกระทำเช่นนี้จึงจะเป็นการเมืองที่สร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์กับประชาชน นางสาวศศิกานต์ กล่าวทิ้งท้าย

"นิพนธ์ บุญญามณี" ขึ้นรถแห่ออกเยี่ยมเยือนพี่น้องประชาชนเนื่องในเทศกาลสงกรานต์

เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2566 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรถแห่ ออกเยี่ยมเยือนพี่น้องประชาชนเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ในเขตเลือกตั้งที่ 1 เขตเลือกตั้งที่ 2 และเขตเลือกตั้งที่ 3 พร้อมเป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ ขอคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชนทั้ง 3 เขต

 

เลือกพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26 จะได้นายชวน หลีกภัย ,นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ,นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ,นายนิพนธ์ บุญญามณี และเลือกผู้แทนของพรรคประชาธิปัตย์ทุกเขต ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีบัตรสองใบคือ เลือกผู้แทนเขต กาเบอร์ 4 และเลือกพรรคประชาธิปัตย์กาเบอร์ 26

 

ทั้งนี้นายนิพนธ์ได้กล่าวถึงนโยบายของพรรคในยุทธศาสตร์ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญของการสร้างคน ตั้งแต่ให้เด็กเล็กได้ดื่มนมโรงเรียนฟรี เว้นเฉพาะวันเสาร์ - อาทิตย์ แต่ในรอบหน้านี้พรรคจะให้เด็กดื่มนมโรงเรียนทุกวันทั้ง 365 วัน รวมถึงเงินกองทุน กยศ. เพื่อให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสได้เข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกัน รวมถึงเรียนฟรี ต่อไปพรรคปชป.มีนโยบายให้เรียนฟรีถึงระดับปริญญาตรี

 

พร้อมกันนี้ ได้อวยพรให้กับพี่น้องประชาชนในเทศกาลวันสงกรานต์ และเชิญชวนให้ทุกคนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เลือกพรรคประชาธิปัตย์กาเบอร์ 26 และเลือกผู้แทนเขตของพรรคประชาธิปัตย์


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. South Time Thailand
Take Me Top