Thursday, 28 March 2024
NEWSFEED

เผยไทม์ไลน์ปลดล็อคกัญชา

เริ่มจากร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดที่เข้าสู่รัฐสภา เป็นการประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. ได้เสนอมาตอนนั้นในร่างมาตรา 29 มันไม่มีคำว่า "กัญชา" อยู่ตั้งแต่ร่างมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่กัญชาประเภท 5 เป็นยาเสพติดที่ถูกให้ความสำคัญมาตลอด ใน พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ

 

ต่อมารัฐสภาได้ทำการพิจารณาร่างประมวลกฎหมาย ยาเสพติด ซึ่งเสนอโดยรัฐบาล

ในมาตรา 29 ประเภท 5 มันไม่มีคำว่า ”กัญชา” อยู่ ซึ่งมีคำว่าพืชฝิ่น กับเห็ดขี้ควาย 2 อย่างเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ประเภท 5 มันมีคำว่ากัญชา ยาฝิ่น กระท่อม แล้วก็ถอดกระท่อมออกเหลือ 2 อย่าง

 

นายศุภชัย ใจสมุทร เฝ้าเกาะติด มาตรา 29 มาตลอด มีคนเสนอว่า ควรจะต้องมีคำว่ากัญชาด้วยไหม ในการประชุม นายศุภชัย ใจสมุทร เข้าร่วมประชุมด้วย บอกว่า ไม่ มันไม่มาตั้งแต่แรก นายศุภชัยเป็นรองประธาน ในเวลานั้น บอกว่าไม่ต้องมีคำว่ากัญชา นี่คือที่มาทั้งหมด

 

พฤศจิกายน 2564

 

- รัฐสภาทำการพิจารณาแล้วเสร็จ จึงมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้หลังจากนั้นอีก 30 วัน

 

8 ธันวาคม 2564

 

- จุดเริ่มต้นของการปลดล็อกกัญชา

- ประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลใช้บังคับ โดยการลงมติเห็นชอบ พร้อมทั้ง ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล

 

ดังนั้นกัญชาไม่ได้เป็นยาเสพติดนับตั้งแต่วันที่ 8/12/2564 จนถึงปัจจุบัน

 

มกราคม 2565

 

- คณะกรรมการ ป.ป.ส.ได้มีการจัดประชุม คือตามกฎหมายมาตรา 29 กำหนดว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้ประกาศระบุประเภทของยาเสพติดแต่ละประเภท

 

- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการ ป.ป.ส. ว่าสิ่งที่เป็นยาเสพติด คือ 1 คือ พืชฝิ่น 2 คือเห็ดขี้ควาย 3 คือสารสกัดจากกัญชา มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนาบินอล (tetrahydrocannabinol – THC) เกิน 0.2 % ที่ยังเป็นยาเสพติด

 

- พรรคภูมิใจไทย ขอให้มีการประกาศบังคับใช้ โดยมีการนับไปอีก 120 วัน ก็คือวันที่ 8 มิถุนายน 2565

 

- นายศุภชัย เสนอ จะต้องมีกฎหมายพ.ร.บ. กัญชา กัญชง มาอีกฉบับหนึ่ง

 

- ที่ประชุมมอบให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฉบับร่างอยู่แล้ว นำฉบับร่างพ.ร.บของพรรคภูมิใจไทย ที่เกี่ยวกับการทำเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์นั้นมายื่น เพื่อให้ทันภายใน 120 วัน โดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ไปยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาเองโดยตรง

 

- นายชวน หลีกภัย ประธานสภา พิจารณาบรรจุเข้ามาเป็นร่างพระราชบัญญัติต่อไปได้ และนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติรับรองให้ทันทีทันใด

 

9 มิถุนายน 2565

 

- วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 25 คน และทำการพิจารณากันจนแล้วเสร็จ ผ่านไป 19 วันมีการประชุมรัฐสภาอีกครั้ง ปรากฏว่า มีการเสนอเข้าที่ประชุมแล้ว การเปิดเสรีกัญชานั้นได้ถูกตีตก จากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติ ไม่ยอมให้กฎหมายผ่านมติการประชุม

 

- พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เข้าสู่วาระที่ 2 มี ส.ส.จากพรรค ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ ยืนยันจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จน ณ วันนี้สภาปิด พ.ร.บ.กัญชา ก็ค้างในสภา พรรคภูมิใจไทย เดินหน้าต่อ เพื่อจะทำกัญชาทางการแพทย์ตั้งแต่หาเสียง และเศรษฐกิจ จะไม่เอานันทนาการ พรรคภูมิใจไทย จะเอากัญชาทางการแพทย์เท่านั้น แต่โดนบิดเบือนจากพรรคการเมืองตรงข้ามพรรคภูมิใจไทย

 

10 มิถุนายน 2565

 

- อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” พร้อมแจกต้นกล้ากัญชา 1 พันต้น ณ จังหวัดบุรีรัมย์

 

16 มิถุนายน 2565

 

- กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ สธ. มีผลบังคับใช้วันที่ 17 มิ.ย 2565 เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 4, 44, 45(3), 45(4) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 กำหนดให้กัญชา หรือสารสกัดกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม

 

18 มิถุนายน 2565

 

- อนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แจง ประกาศ สธ. กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม มีผลตามกฎหมายแล้ว

 

การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กว่า ๑ ปี ในช่วงแรกเน้นให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ ที่ได้มาตรฐานจากสถานพยาบาลใกล้บ้านกว่า ๓๐๐ แห่งทั่วประเทศ

 

การผลักดันนโยบายกัญชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยพรรคภูมิใจไทย จนกระทั่ง วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ ได้มีการเสนอร่างกฎหมาย ๒ ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ แก้ไขเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติสถาบันพืชยาเสพติดแห่งประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎหมายปลูกกัญชาบ้านละ ๖ ต้น" เพื่อปลดล็อคกัญชาให้สามารถใช้ทางการแพทย์ได้อย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถปลูกได้ตาม นโยบาย ที่พรรคฯ หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง

 

นโยบายปลดล็อกกัญชานี้ ออกมาเพื่อดึงดูดประชาชนให้สนใจ สนับสนุน และเลือกพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล และให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะได้ทำให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านมติ นายอนุทินยังกล่าวอีกว่า กัญชามีประโยชน์ ทั้งทางด้านการแพทย์ สุขภาพของประชาชน ช่วยในการรักษาโรคมากมาย และ ยังเป็นผลดีในทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย การคืนกัญชาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์นี้ช่วยสร้างรายได้เสริม และ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พรรคภูมิใจไทยยังย้ำว่าถ้าไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย คนที่ปลูกหรือใช้กัญชาจะกลับไปติดคุก

 

แต่ดูเหมือนว่าเกมที่พรรคภูมิใจไทยได้คิดไว้เหมือนจะพลิก เนื่องจาก พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับ พ.ร.บ กัญชาดังกล่าว พ.ร.บ จึง ถูกตีตกไป น่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่กลัวพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนนิยมจากประชาชนมากเกินไป นี่จึงเป็นอีกทางที่พรรคการเมืองอื่นๆอาทิ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ฯลฯ ใช้เพื่อสกัด พรรคภูมิใจไทย โดยไม่ยอมรับ พ.ร.บ กัญชง กัญชา และลงมติไม่เห็นชอบ

 

ซึ่งดูขัดแย้งกับช่วงแรกที่พรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นเสนอร่างต่อรัฐสภา ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ยอมรับ พ.ร.บ กัญชง กัญชา และ การเปิดเสรีกัญชาให้ใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย โดยที่ไม่ถูกระบุอยู่ใน ประเภทของยาเสพติด แต่เมื่อการแสวงหาผลประโยชน์ และ การเลือกตั้ง ได้เกิดขึ้น ทุกอย่างจึงพลิกผัน เพื่อผลประโยชน์ของตนทั้งสิ้น

ผอ.เลือกตั้ง ปชป. กล่าวถึงการที่ ปชป.ได้หมายเลข 26

เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)​ และ ผอ.เลือกตั้ง ปชป. กล่าวถึงการที่ ปชป.ได้หมายเลข 26 จะเป็นอุปสรรค์ต่อการเสียงหรือไม่ว่า เชื่อว่าไม่เป็นอุปสรรคอะไร ประชาชนผ่านการเลือกตั้งมาหลายรอบ ไม่ว่าคนรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ ก็เข้าใจแล้วว่าเป็นอย่างไร และเลข 26 ก็เป็นข้อดีที่สามารถทำให้อยู่ในป้ายแผ่นเดียว กับ ส.ส.เขตได้

 

เชื่อว่าจะสามารถทำความเข้าใจกับประชาชนได้แน่นอน พร้อมทั้งให้ประชาชนจำนโยบายพรรคที่ทำมากกว่า โดยสื่อให้เห็นว่านโยบายต่างๆที่พรรคนำเสนอ เช่น ประกันรายได้ คือเบอร์ 26

 

นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่า หลังจากได้เบอร์แล้วมาถึงวันนี้เมื่อเห็นตัวผู้สมัคร ตัวคู่แข่ง และเห็นพรรคคู่แข่งแล้ว ทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ ปชป.สามารถที่จะทำให้เดินไปตามเป้าหมายนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ภาคใต้ หรือพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่หลัก หรือภาคกลาง ก็มีความมั่นใจ ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานเดิมเราได้ 2 ภาค รวม 3 ที่นั่ง รองนี้มีความมั่นใจว่าได้มากกว่าเดิมแน่นอน และกำลังประเมินกันอยู่ว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ทั้งภาคเหนือ และภาคอีสาน จังหวัดไหนบ้างที่เป็นไปตามเป้าที่วางเอาไว้ หรือจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามเป้า ซึ่งเราประเมิณกันทุกระยะ

 

เมื่อถามว่า ปชป.มีการทำโพลในแต่ละพื้นที่หรือไม่ นายนิพนธ์ กล่าวว่า โพลแต่ละพื้นที่ทำ โดยทำตัวอย่างแต่ละเขต ในส่วนที่ตนลงไปดูแลทำ 3,000-5,000 ตัวอย่างต่อ 1 เขตเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นความถี่ หรือความแม่นยำของโพล มากกว่าที่ทำ 2,000 ตัวอย่างทั้งประเทศ ซึ่งโพลที่ทำตัวอย่างมากก็ยิ่งใกล้เคียงความจริงมากขึ้นเท่านั้น แต่การตั้งคถามก็ต้องเป็นไปตามหลักวิชาทางสถิติ

 

“ที่วิเคราะห์กันว่า ปชป.จะได้ 70-80 ที่นั่งนั้น มีสมมติฐานหมด 2-3 ปีที่ผ่านมาเราทำเรื่องนี้ เพื่อเตรียมไปสู่การเลือกตั้ง ถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในเป้าหมายทุกอย่าง” นายนิพนธ์ กล่าว

 

เมื่อถามว่า มีบางฝ่ายบอกว่า ปชป.น่าจะได้ไม่ถึงเป้าที่วางไว้ นายนิพนธ์ กล่าวว่า ก็วิคราะห์กันอยู่ เราไม่ไปโต้แย้งคำวิจารณ์ แต่เราทำให้ดีที่สุด เพราะบางทีข้อมูลของคนที่วิเคราะห์กับข้อมูลของเราต่างกัน ใช้ข้อมูลคนละตัวกัน เพราฉะนั้นการวิเคราะห์ต้องอยู่กับข้อมูล บางคนไปวิเคราะห์ตั้งแต่ยังไม่เห็นคู่แข่งเลยแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร แสดงว่าต่อไปก็ไม่ต้องหาเสียงอะไรกันแล้ว ปกติเราต้องยอมรับความจริงว่าผู้แทนฯแชมป์เก่า ๆ แต่ละครั้งมีการเปลี่ยนประมาณ 35-45 เปอร์เซนต์ มีคนรุ่นใหม่เข้ามาตลอด แต่เวลาเราประมาณจะประเมิณตัวหลัก และตัวหลักใน 100 เปลี่ยน 35-45 เปอร์เซนต์ทุกรอบ

 

เมื่อถามว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ตั้งเป้าไว้เท่าไหร่ นายนิพนธ์ กล่าวว่า เป้าบัญชีรายชื่อ เราไม่รู้ว่ากี่คน แต่อย่างน้อยที่เราประมาณการณ์ไว้เดิมเราได้ประมาณ 3.96 ล้านเสียง ส่วนครั้งนี้เราประเมิณว่าน่าจะได้เพิ่ม 1.5 ล้านเสียง เมื่อรวมแล้วได้สัก 5.5 ล้าน ส.ส.บัญชีรายชื่อก็อยู่ที่ประมาณ 16-17 คน แม้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คนเหลือ 100 คน เราเชื่อว่าจากบัตร 2 ใบก็จะมีส่วนให้ประชาชนตัดสินใจเลือก

 

“เช่นไม่ชอบคนในเขตนั้น แต่พรรคก็ยังชอบ ปชป.อย่างในอีสานหลายคนมองว่า หลายเขตตัวผู้สมัครของเราอาจจะสู้เขาไม่ได้ แต่นโยบายของพรรคโดนใจ เขาก็จะเลือกเรา จึงอยู่ที่ว่าเราจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจในนโยบายของเราอย่างไร ซึ่งผู้สมัครในแต่ละเขตเข้าใจ และเดินหาเสียงอยู่ในขณะนี้ และรอบนี้สิ่งที่ ปชป.จะขายคือนโยบายเกี่ยวข้องเกษตกร และที่ดิน แต่ไม่ละทิ้งคนเมือง”

 

ท่ามกลางกองเชียร์ที่มาร่วมให้กำลังใจ มีทั้ง กลุ่ม วัวลาน กลุ่มชาวประมง เป็นจำนวนมาก

นายณภัทร ชุ่มจิตตรี อดีตดารานักแสดงตลกชื่อดัง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 ในนามพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเอกสารเพื่อสมัครรับเลือกตั้งในเวลา 11.05 น. วันที่ 5 เมษายน ที่หอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้หมายเลข 11 ท่ามกลางกองเชียร์ที่มาร่วมให้กำลังใจ มีทั้ง กลุ่ม วัวลาน กลุ่มชาวประมง เป็นจำนวนมาก

 

เพราะเชื่อมั่น ในอุดมการณ์ เเละเป็นคน พูดจริงทำจริง ของ คิง ซึ่งก่อนหน้ายื่นใบสมัคร นายณภัทรได้เดินขึ้นบันใดเขาช่องกระจก 369 ขั้น ด้านหน้าศาลากลางประจวบฯ เพื่อกราบขอพรจาก พระบรมสารีรกธาตุบนยอดเขาด้วย ทำให้บรรยากาศ ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์คึกคักขึ้นมาทันที เเม้วันนี้จะเป็นวันที่3 ของการรับสมัครก็ตาม โดยคิง ณภัทร ระบุว่า ดีใจที่ได้หมายเลข 11 เพราะถือว่าเป็นเลขคู่บุญ ประจำตัว ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เพื่อชาวประจวบคีรีขันธ์

 

"กรุงไทย" ผนึก "ปตท"

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย. 66) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ บริษัท PTT International Trading Pte Ltd ประเทศสิงคโปร์ (PTTT ถือหุ้น 100% โดย ปตท.) ในการเข้าทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต หรือ Carbon Credit Linked Derivatives ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมใหม่ของตลาดทุนไทย ที่ธนาคารได้ออกแบบและพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการบริหารความเสี่ยงทางการเงินของ ปตท. รวมถึงเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งสองบริษัท

 

นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างองค์กรในประเทศ โดย PTTT ประเทศสิงคโปร์ จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานให้เพื่อใช้สำหรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมต่างๆ ในอนาคต นอกจากนี้ ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG ของ ปตท.

 

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกมิติ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของ United Nations Development Programme (UNDP) โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทิศทางที่ผู้บริโภค และธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยล่าสุดธนาคารลงนามบันทึกข้อตกลงกับ ปตท. และ บริษัท PTTT ประเทศสิงคโปร์ ในการเข้าทำสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน (Derivatives) ที่เชื่อมโยงกับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Derivatives) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นพัฒนาและการเป็นผู้นำตลาด ESG Financial Solution ของธนาคาร ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ในด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ และสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

 

“ธนาคารยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านตลาดทุน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทางการเงินให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคใหม่ที่มีความผันผวน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เสริมศักยภาพธุรกิจ และเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”

 

นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนอันเนื่องมาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เงินเฟ้อและนโยบายการบริหารจัดการดอกเบี้ยของแต่ละประเทศ ปตท. มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนทางการเงินด้วยวิธี Natural Hedge รวมทั้ง มีการใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงเมื่อมีจังหวะและสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยธุรกรรมนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมของตลาดทุนเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการทางการเงินให้กับองค์กรตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงสนับสนุนให้ทั้ง 3 องค์กรมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

 

“การลงนามบันทึกข้อตกลง Carbon Credit Linked Derivatives ระหว่างธนาคารกรุงไทย ปตท. และ PTTT ในครั้งนี้ จะมีส่วนสนับสนุนกลยุทธ์ “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” ของ ปตท. ที่ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2040 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต ค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมทั้งเปลี่ยนสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมและสร้าง EV Ecosystem ในประเทศ รวมทั้งธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ตลอดจนเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็น ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือของบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2030 อีกด้วย”

 

นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า PTT International Trading Pte Ltd (PTTT) ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. เป็นผู้นำในการพัฒนาและมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจการค้าคาร์บอนเครดิต ทั้งในรูปแบบ Over The Counter และตลาด Exchange ทำให้สามารถเข้าถึงและขยายขอบเขตการค้าคาร์บอนเครดิตได้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากล สำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เชื่อมโยงในธุรกรรมครั้งนี้ จะเป็นต้นแบบในการพัฒนาตลาดสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เชื่อมโยงกับอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินหรือผลิตภัณฑ์ทางการค้าอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. มุ่งมั่นและพร้อมเป็นกำลังสำคัญร่วมกับองค์กรต่างๆ ในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระดับประเทศต่อไป

ร้านป้ายหาเสียงเริ่มกลับมาคึกคัก

วันที่ 5 เม.ย. 2566 ร้านป้ายหาเสียงเริ่มกลับมาคึกคัก หลังเงียบเหงามานาน โดยบรรยากาศที่ร้านป้ายแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากมีการเปิดรับสมัคร และได้เบอร์ผู้สมัครกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครก็ต่างพากันเช็คร้านเพื่อทำป้ายหาเสียง

 

เจ้าของร้านกล่าวว่า ช่วงนี้ ร้านเริ่มกลับมาคึกคัก ออเดอร์มีเข้ามามากกว่าช่วงเลือกตั้งครั้งก่อน ซึ่งเมื่อวานมีประมาณ 300 ป้าย และช่วงบ่ายอีกประมาณ 400 ป้าย โดยทางร้านจัดทำแบบครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบ ปริ้น ติดโครงไม้ พร้อมติดตั้งให้สำเร็จ

 

ที่มา : ThaiPBS

ออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว

ในขณะที่หลายประเทศในโลก พยายามอัดแคมเปญส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในบ้านเยอะๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ก็มีบางประเทศที่ทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว โดยเจาะจงไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดล่าง ที่เข้ามารบกวน ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเมือง

 

อย่างกรุงอันสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ตอนนี้มีแคมเปญใหม่ล่าสุด ที่ขึ้นป้ายบิลบอร์ด ไล่นักท่องเที่ยวกันซึ่งๆหน้าว่า "หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวแบบหัวราน้ำ ที่อัมสเตอร์ดัมอยู่หล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ เพราะเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ไม่ต้อนรับพวกคุณ"

 

นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปโฆษณา จำลองเหตุการณ์ตำรวจจับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่เมา โวยวายตามสถานบันเทิงยามค่ำคืน ชาวต่างชาติที่เสพยาเกินขนาดจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาโรงแรมถูก ๆ ในอัมสเตอร์ดัมเพื่อมาหาเพื่อนสายปาร์ตี้เอาดาบหน้าที่อัมสเตอร์ดัม พร้อมขึ้นคำเตือนว่า "อยากมาลองเมาเละที่อัมสเตอร์ดัม = โทษปรับ 140 ยูโร + ติดประวัติอาชญากรรม?"

 

นาย โซฟอัน มบาร์กี รองผู้ว่าการกรุงอัมสเตอร์ดัม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแคมเปญ "Stay Away - ไปให้ห่างจากอัมสเตอร์ดัม" ว่า จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าชาวกรุงอัมสเตอร์ดัม ไม่อยากได้นักท่องเที่ยว เพียงแต่เราไม่ต้องการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไร้คุณภาพ มีเป้าหมายเพียงเพื่อมาหาที่เมา ที่เสพ และอาละวาด เสียงดังจนชาวบ้านเดือดร้อน เรายอมจำกัดการเติบโตด้านการท่องเที่ยวดีกว่า เพื่อแลกกับบรรยากาศเมืองที่น่าอยู่

 

สิ่งที่น่าแปลก แต่จริง ก็คือ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทำให้ทางการอัมสเตอร์ดัมต้องหาทำแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวในครั้งนี้ คือกลุ่มนักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ อายุตั้งแต่ 18-35 ปี ที่หลายครั้งพบว่ามา สร้างปัญหาเมื่อข้ามฝั่งมาเที่ยวที่เนเธอร์แลนด์

 

และกรุงอัมสเตอร์ดัม เองก็มีชื่อเสียงโด่งดังในทางลบว่าเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาแสวงหาความสำราญ เนื่องจากมีซ่องโสเภณีที่ถูกกฏหมาย กัญชาเสรี ที่สามารถหาเสพได้ง่ายตามร้านคาเฟ่กัญชาที่มีอยู่ทั่วไปในเมือง แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่กลุ่มนี้มากๆเข้า ก็สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ชาวเมือง และทำให้บรรยากาศของเมืองเสียไป

 

ทางการอัมสเตอร์ดัมจึงวางแผนที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของเมืองใหม่ทั้งหมด โดยออกกฏ ข้อห้ามในการสูบบุหรี่ ยาสูบตามท้องถนน ลดการจัดปาร์ตี้คนโสด หรือกิจกรรมตระเวณผับแบบหัวราน้ำ อีกทั้งยังวางแผนที่จะย้ายซ่องโสเภณี และ ธุรกิจทางเพศกว่า 100 แห่งไปอยู่ชานเมืองในเร็วๆนี้

 

กรุงอัมสเตอร์ดัม เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 20 ล้านคนต่อปี แต่ทางการยอมที่จะปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวลง หลังจากที่มีการปรับปรุงภาพลักษณ์ โดยขอเน้นเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชั้นดีเพียงแค่ 10 ล้านคนต่อปีก็พอ แต่มีความยั่งยืนในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมแบบระยะยาวจะดีกว่านั่นเอง

 

อ้างอิง

 

Euro News

 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้เน้นการนำเสนอผลงาน วิสัยทัศน์และนโยบาย

 

”ก้าวใหม่ เพชรบุรี ก้าวใหม่ประเทศไทย” ภายใต้ยุทธศาสตร์ ” สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ”ของพรรคประชาธิปัตย์ มั่นใจว่าด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเพชรบุรีและอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่มั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลง คนเพชรบุรีจะให้ความเมตตาและมอบความไว้วางใจเลือกผู้สมัคร ส.ส.เพชรบุรีทั้ง 3 เขตและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเสมือนพรรคคู่บ้านคู่เมืองเพชรบุรีเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

 

สำหรับทีมผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วยนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ 6สมัยผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 หมายเลย 7 นายกัมพล สุภาแพ่ง อดีต ส.ส. 2 สมัย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 หมายเลข 7 และนายอภิชาติ สุภาแพ่ง อดีต ส.ส.4สมัย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 หมายเลข 7

 

ลุงป้อมทำเมนูสุดพิเศษ

วันนี้ (2 เมษายน 2566) เวลา 11.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โชว์ทำกุ้งกระเทียมเพื่อรับประทานเป็นอาหารกลางวัน พร้อมกับทีมงานใกล้ชิด

 

โดยปกติที่ผ่านมา พลเอกประวิตร ก็ชอบที่จะทำอาหารทานและเลี้ยงทีมงานใกล้ชิดโดยทุกคนที่ได้รับประทานจะติดใจฝีมือของพลเอกประวิตรและต้องขอมาลองเมนูอื่นๆอีก

 

ในวันนี้ ขณะทำอาหารซึ่งเป็นกุ้งกระเทียม พลเอกประวิตร มีสีหน้ายิ้มแย้มและอารมณ์ดีด้วยความชอบและรักในการทำอาหาร

 

พลเอกประวิตรกล่าวว่า เมนูนี้เป็นเมนูที่บิดาของพลเอกประวิตรมักจะขอให้ ตนเองทำให้คนในครอบครัวทาน เพราะพลเอกประวิตรทำได้อร่อย จนกลายเป็นเมนูของความรัก ความผูกพันในครอบครัวจนถึงวันนี้

 

โดยในวันอาทิตย์นี้พลเอกประวิตร ได้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นยี่ห้อมหานครพิมพ์ลวดลายสุดเท่ทั้งตัว สะท้อนความเป็นไทยแบบยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี เป็นลายกุ้ง โดยระบุคำว่า “foodie” ซึ่งแปลว่า นักชิม และคำว่า “good test good quality” ซึ่งหมายความว่า รสชาติดี คุณภาพดี เข้ากับการทำอาหารในวันนี้ เป็นวันอาทิตย์สบายๆ สไตล์ลุงป้อม

 

 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าว

วันที่ 1 เม.ย. 2566 พรรคประชาชาติ มีการจัดประชุมสัมมนาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ที่ห้องประชุมแกรนด์มีรอซ โรงแรมอัลมีรอซ กรุงเทพฯ

 

โดยมีแกนนำพรรคมาร่วม เช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค พร้อมว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต 19 เขต ในภาคใต้เข้าร่วม

 

การสัมมนามีการบรรยายพิเศษ เรื่อง นโยบายพรรคประชาชาติที่เสนอต่อประชาชนเพื่อชนะการเลือกตั้ง โดยพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค การบรรยายพิเศษเรื่องนโยบายเกษตรกรมีกรรมสิทธิ์และที่ดินทำกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน โดย รศ.ดร.วีระภาส คุณรัตนสิริ

 

การบรรยายและซักถามเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสมัครเลือกตั้ง โดย ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ และการบรรยายพิเศษ เรื่องยุทธศาสตร์พรรคประชาชาติเพื่อชนะเลือกตั้ง และยึดอำนาจรัฐโดยร่วมจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา

 

นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้พรรคประชาชาติส่งผู้สมัครเลือกตั้งทั้ง 19 เขต และปาร์ตี้ลิสต์ 77 ท่าน มีความพร้อมแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งผู้สมัครและเอกสารต่างๆ และวันนี้เป็นการสัมมนาผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และวันที่ 6 เมษายนนี้จะมีการสัมมนาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ เรามีความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้ง เพราะเราเลือกส่งเฉพาะในเขตที่เรามีเป้าหมายและต้องได้แน่ ๆ เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราจะค่อย ๆ ขยายจากพรรคขนาดเล็กสู่พรรคขนาดกลาง เพื่อสร้างฐานที่มั่นคง

 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวต่อว่า เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แต่จะเป็นพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมืองในอนาคต เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างให้มีความมั่นคง เราเป็นพรรคที่จัดตั้งมาเพื่อสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และยึดมั่นในรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญของประชาชน นี่คือแนวทางของเรา

 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวอีกว่า ดังนั้นการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง เราเชื่อมั่นว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้จากปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยไปสู่การเป็นประชาธิปไตย และต้องการได้รัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเราจะเข้าไปร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่ประชาชนไว้วางใจ และสามารถที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นของประชาชนให้ได้

 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวด้วยว่า และต้องแก้ปัญหาต่างๆที่รัฐบาลบริหารมา 4 ปีมีปัญหาต่อประชาชนมากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความเป็นธรรม และการคอรัปชั่นมากมาย เราต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาการเลือกตั้งของประชาชนในคราวนี้

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นต่อระบบการชิงตั้งรัฐบาลก่อนเมื่อมีความพร้อม นายวันมูหะมัดนอร์ ตอบว่า ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้เสียงข้างมากต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ทั้งในเรื่องหลักการและประเพณีปฏิบัติ แต่ในคราวที่แล้วเราสร้างเงื่อนไข ตั้งแต่ตอนต้นที่ขัดกับธรรมเนียมปฎิบัติที่โลกเขาทำกัน เรามาใช้กลไกเพื่อสืบทอดอำนาจต่อ สำหรับการเลือกตั้งข้างหน้านี้จะเป็นอย่างไรนั้นตอนนี้โพลล์ออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคไหนจะได้เสียงมากที่สุด

 

และพรรคที่จะร่วมรัฐบาลอย่างน้อยต้องมี 300 เสียงขึ้นไป มีเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญบางประการว่า หากในรอบแรกตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็มีรอบสองต่อไป แต่ผมเชื่อว่ารอบแรกก็น่าจะเกินเป้าที่จะสามารถตั้งรัฐบาลได้แล้ว เพราะไปสัมผัสประชาชนในทุกภูมิภาค เขาต้องการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก

 

“ผมอยู่ในวงการการเมืองมา 40 กว่าปี ผมยังไม่เคยเห็นว่าประชาชนตื่นเต้นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศเท่ากับในรอบนี้ เพราะเขาเบื่อหน่ายและเห็นปัญหามากมายที่ประชาชนทุกข์ยากจริงๆ เชื่อว่าเปลี่ยนแปลงแน่นอนแบบแลนด์สไลด์ เชื่อว่าไม่น่าจะเกินสัปดาห์เดียวจะสามารถตั้งรัฐบาลได้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

 

นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)

หลังจากที่กลุ่ม นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) และ นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)

 

โดยพยายามบุกเข้ามาในบริเวณหน้าเวทีปราศรัย พยายามที่จะดันเข้าไปให้ได้ จนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้น โดยมีการชกต่อยกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับมวลชน เกิดความวุ่นวาย และสร้างความตกใจให้กับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย

 

ชาวเน็ตได้ตั้งข้อสังเกตจากภาพที่ปรากฎอยู่ในคลิป จะมีผู้หญิงอ้วนเสื้อสีฟ้าใช้ถุงดำคลุมหัวเพื่ออำพราง ร่วมทำกิจกรรมด้วย ทราบภายหลังคือ นส.วีรดา (ทนายเฟิร์น) คงธนกุลโรจน์ เป็นทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาโป๊ะแตก ตอนหน้าร้านแมคโดนัล ราชดำเนิน เปิดตัวว่าเป็นทนาย ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายสืบสวน

 


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. South Time Thailand
Take Me Top