เคาะขึ้นค่าไฟภาคเอกชน ส่วนครัวเรือนยังตรึงไว้ 4.72 บาทต่อหน่วย

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ. เห็นชอบการคำนวณค่า Ft ประจำเดือนมกราคม – เมษายน 2566 โดยคิดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่อัตรา 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้เมื่อรวมค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยอยู่ในระดับเท่าเดิมที่อัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย

ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น คิดที่อัตรา 190.44 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 21%

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ค่อนข้างผิดหวังกับมติกกพ.อย่างแรงเพราะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้ส่งสัญญาณไปแล้ว ว่าหากค่าไฟฟ้าขึ้นสูงจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งโรงแรม อุตสาหกรรม เกษตรกร และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ก็ต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภค สินค้าบริการจะขยับขึ้น กระทบต่อเงินเฟ้อ กระทบต่อความสามารถทางการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม กกร.จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนมติ กกพ. และให้ตั้งคณะทำงานทั้งภาครัฐ-เอชน มาหารือร่วมกันด่วนก่อนที่จะเริ่มเก็บค่าไฟฟ้าใหม่ในวันที่ 1 ม.ค.66 โดยขอให้อย่างน้อยเอฟทีงวดใหม่ นำเรื่องการคืนหนี้ กฟผ.ออกไปก่อนจากที่จะคืน 33 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของส่วนอื่น ๆ ยกเว้นบ้านจะลดลงจาก อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วยเหลือ ราว 5.30 บาท/หน่วย และควรวางแผนร่วมกันเพราะเรื่องค่าไฟฟ้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ