‘รักษามะเร็งฟรี’ ประโยชน์ที่ดีต่อคนทั้งชาติ เกมฉีกจาก ‘ภูมิใจไทย’ ในจังหวะนโยบายชู ศก.เดือด

ตามกติกา เหลือเวลาอีกประมาณ 2 เดือน ก็จะหมดวาระของรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้ว และหน้าสื่อตอนนี้ ก็เริ่มหันไปสนใจกับนานาพรรคการเมือง ที่ปล่อยก๊อกนโยบายของพรรคตนออกมา ‘ปาดหน้า’ ชิมลาง เรียกคะแนนทิพย์จากประชาชนกันแบบเล่นใหญ่ บ้างชูนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน บ้างเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการเป็น 700 บาททันทีหากได้เป็นรัฐบาล บ้างปลดล็อกการจ่ายภาษีขั้นต่ำ ฯลฯ

แน่นอนว่า พอปล่อยเป็นนโยบายเชิงหาเสียง ก็ย่อมสัมผัสได้ถึงนานาประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับกันทั้งนั้น แต่จะทำได้จริงหรือไม่ หรือต่อให้ตั้งใจจะทำจริง จะต้องใช้อายุขัยรัฐบาลกี่เดือน กี่ปี ก็ต้องตามดูกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียน มีข้อติดใจเรื่องหนึ่ง คือ นานานโยบายที่ก่อตัวขึ้นในห้วงเวลานี้ ล้วนต่อยอดสถานภาพการเงินแบบเกทับ แต่หลังจากชีวิตผู้คนที่เริ่มหลับนอนในท้องห้องโรงพยาบาลบ้าง ศูนย์พักพิงบ้าง ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา มันก็พลันให้คิดว่า มิมีใครอยากจะถอยนโยบายด้านสุขภาพมาให้ประชาชนได้ฝากผีฝากไข้กันบ้างเลยหรือ

ทั้งที่เรื่องสาธารณสุข หรือเรื่องสุขภาพ มันเป็นเรื่องใกล้ตัว และประชาชนทุกคนหากคิดจะเดินหน้าไปทำมาหากินได้ ก็ต้องมีสุขภาวะที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็ต้องเสียทั้งเงินและเสียเวลาไม่มากก็น้อย แล้วจะไปต่อยอดชีวิตได้อนาคตได้เยี่ยงไร

พลันคิดได้เช่นนี้ ก็แอบเซ็ง แต่ก็เอาวะ เพราะแนวนโยบายเปิดปฐพีในช่วงแรก มันก็ต้องยิงกระแสแรงๆ ไว้แซงพรรคเพื่อนพ้องไว้ก่อน เพียงแต่หลังจากได้เห็นกระแสนโยบายเกทับด้านการเงินแรงๆ ไปช่วงหนึ่ง ก็ต้องจ้องอ่านอย่างคนสงสัย เมื่อยังมีพรรคที่ชูนโยบายสุขภาพขึ้นแรงดูดี

นโยบาย ‘รักษามะเร็งฟรี’ ของพรรคภูมิใจไทย เป็นอีกข้อความที่สะกดใจ และรู้สึกว่า ‘หมอหนู’ อยู่สาธารณสุขจนอิน เลยเบนเข็มจากกัญชาเสรี มารักษามะเร็งฟรี หรือเป็นกลยุทธ์แสนครีเอทที่เข้าใจปัจจัยแห่งทุกข์พื้นฐานของประชาชนกันแน่  

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปเข้าใจได้ง่าย ทว่าถ้าสนใจกันแต่เรื่อง ‘มะเร็ง’ เพียวๆ แล้ว หากลองดูจากสถิติ โรคร้ายนี้เป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และที่น่าใจหายและน่าห่วงก็คือ ‘มะเร็ง’ มีโอกาสเกิดขึ้นในคนอายุน้อย ๆ มากขึ้นด้วย

แค่ชื่อโรค ‘มะเร็ง’ ฟังดูก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่มันยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นไปอีก เพราะหากคุณภาพชีวิตไม่เอื้ออำนวยต่อการรักษา ไม่มีปัญญาหาค่าใช้จ่าย การเดินทางไกล ๆ ไปยังโรงพยาบาลที่รักษาได้ หรือการรอคิวเพื่อรักษา ทุกอย่างก็พร้อมจะเป็นความทุกข์ที่กัดกิน ไม่เพียงแต่ผู้ป่วย แต่ลุกลามไปถึงคนในครอบครัวด้วยทันที

แต่เชื่อว่าความทุกข์ใจจะทุเลาลงได้ หากการ ‘รักษามะเร็ง’ นั้น ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!!

ทว่า คงมีคนคิดแย้งในใจว่า ก็แล้วทำไมไม่ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทล่ะ เพราะรัฐก็มีให้ใช้อยู่แล้ว?

ต้องขอบอกก่อนว่า แม้จะมีสิทธิเพื่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อยู่หลายประเภท แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่ โดยที่ผ่านมา เสียงสะท้อนมักสะเทือนถึงสิทธิที่ไม่ครอบคลุมบ้าง เบิกไม่ได้บ้าง รักษาไปตามสภาพบ้าง หรือวงเงินค่ารักษาไม่เพียงพอบ้าง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหาที่คนไม่ประสบกับมะเร็งโดยตรงจะไม่ทราบ

ฉะนั้น มันก็คงจะดีมากๆ หากว่านโยบาย ‘รักษามะเร็งฟรี’ ของพรรคภูมิใจ สามารถเกิดขึ้นจริง หรือพรรคอื่นนำไปทำได้ ก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งหมด

แน่นอนว่า หลังจากพรรคภูมิใจไทยปล่อยนโยบาย ‘รักษามะเร็งฟรี’ ออกมา โดยมีแม่ทัพหน้าแห่งกรุงเทพอย่าง ‘บี-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์’ ออกมาเป็นกระบอกเสียงในแรกเริ่ม ก็ถือว่าได้ผลตอบรับดีพอสมควร โดยผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ จาก SUPER POLL ชี้ว่า ประชาชนร้อยละ 79.7 ถูกใจนโยบายนี้มากเป็นอันดับสอง รองจากนโยบายสานต่อบัตรทอง 30 บาท

ก็รอลุ้นว่า ในอนาคตอันใกล้ นโยบาย ‘รักษามะเร็งฟรี’ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? หากหมอหนูได้สถานะรัฐบาลที่คำรบ...