วันที่ 1 เม.ย. 2566 พรรคประชาชาติ มีการจัดประชุมสัมมนาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ที่ห้องประชุมแกรนด์มีรอซ โรงแรมอัลมีรอซ กรุงเทพฯ
โดยมีแกนนำพรรคมาร่วม เช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค พร้อมว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต 19 เขต ในภาคใต้เข้าร่วม
การสัมมนามีการบรรยายพิเศษ เรื่อง นโยบายพรรคประชาชาติที่เสนอต่อประชาชนเพื่อชนะการเลือกตั้ง โดยพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค การบรรยายพิเศษเรื่องนโยบายเกษตรกรมีกรรมสิทธิ์และที่ดินทำกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน โดย รศ.ดร.วีระภาส คุณรัตนสิริ
การบรรยายและซักถามเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสมัครเลือกตั้ง โดย ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ และการบรรยายพิเศษ เรื่องยุทธศาสตร์พรรคประชาชาติเพื่อชนะเลือกตั้ง และยึดอำนาจรัฐโดยร่วมจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้พรรคประชาชาติส่งผู้สมัครเลือกตั้งทั้ง 19 เขต และปาร์ตี้ลิสต์ 77 ท่าน มีความพร้อมแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งผู้สมัครและเอกสารต่างๆ และวันนี้เป็นการสัมมนาผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และวันที่ 6 เมษายนนี้จะมีการสัมมนาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ เรามีความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้ง เพราะเราเลือกส่งเฉพาะในเขตที่เรามีเป้าหมายและต้องได้แน่ ๆ เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราจะค่อย ๆ ขยายจากพรรคขนาดเล็กสู่พรรคขนาดกลาง เพื่อสร้างฐานที่มั่นคง
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวต่อว่า เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แต่จะเป็นพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมืองในอนาคต เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างให้มีความมั่นคง เราเป็นพรรคที่จัดตั้งมาเพื่อสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และยึดมั่นในรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญของประชาชน นี่คือแนวทางของเรา
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวอีกว่า ดังนั้นการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง เราเชื่อมั่นว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้จากปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยไปสู่การเป็นประชาธิปไตย และต้องการได้รัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเราจะเข้าไปร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่ประชาชนไว้วางใจ และสามารถที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นของประชาชนให้ได้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวด้วยว่า และต้องแก้ปัญหาต่างๆที่รัฐบาลบริหารมา 4 ปีมีปัญหาต่อประชาชนมากมาย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความเป็นธรรม และการคอรัปชั่นมากมาย เราต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาการเลือกตั้งของประชาชนในคราวนี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นต่อระบบการชิงตั้งรัฐบาลก่อนเมื่อมีความพร้อม นายวันมูหะมัดนอร์ ตอบว่า ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้เสียงข้างมากต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ทั้งในเรื่องหลักการและประเพณีปฏิบัติ แต่ในคราวที่แล้วเราสร้างเงื่อนไข ตั้งแต่ตอนต้นที่ขัดกับธรรมเนียมปฎิบัติที่โลกเขาทำกัน เรามาใช้กลไกเพื่อสืบทอดอำนาจต่อ สำหรับการเลือกตั้งข้างหน้านี้จะเป็นอย่างไรนั้นตอนนี้โพลล์ออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคไหนจะได้เสียงมากที่สุด
และพรรคที่จะร่วมรัฐบาลอย่างน้อยต้องมี 300 เสียงขึ้นไป มีเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญบางประการว่า หากในรอบแรกตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็มีรอบสองต่อไป แต่ผมเชื่อว่ารอบแรกก็น่าจะเกินเป้าที่จะสามารถตั้งรัฐบาลได้แล้ว เพราะไปสัมผัสประชาชนในทุกภูมิภาค เขาต้องการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก
“ผมอยู่ในวงการการเมืองมา 40 กว่าปี ผมยังไม่เคยเห็นว่าประชาชนตื่นเต้นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศเท่ากับในรอบนี้ เพราะเขาเบื่อหน่ายและเห็นปัญหามากมายที่ประชาชนทุกข์ยากจริงๆ เชื่อว่าเปลี่ยนแปลงแน่นอนแบบแลนด์สไลด์ เชื่อว่าไม่น่าจะเกินสัปดาห์เดียวจะสามารถตั้งรัฐบาลได้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)
หลังจากที่กลุ่ม นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) และ นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)
โดยพยายามบุกเข้ามาในบริเวณหน้าเวทีปราศรัย พยายามที่จะดันเข้าไปให้ได้ จนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้น โดยมีการชกต่อยกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับมวลชน เกิดความวุ่นวาย และสร้างความตกใจให้กับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย
ชาวเน็ตได้ตั้งข้อสังเกตจากภาพที่ปรากฎอยู่ในคลิป จะมีผู้หญิงอ้วนเสื้อสีฟ้าใช้ถุงดำคลุมหัวเพื่ออำพราง ร่วมทำกิจกรรมด้วย ทราบภายหลังคือ นส.วีรดา (ทนายเฟิร์น) คงธนกุลโรจน์ เป็นทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาโป๊ะแตก ตอนหน้าร้านแมคโดนัล ราชดำเนิน เปิดตัวว่าเป็นทนาย ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายสืบสวน
‘สุนทร รักษ์รงค์’ ว่าที่ผู้สมัคร พลังประชารัฐ เขต 8 นครศรีฯ ลุยหาเสียง ค่ำไหนนอนวัดที่นั่น
นายสุนทร รักษ์รงค์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งเขต 8 เลขที่ 387/1 ม.10 ต.หลักช้าง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยมี พระครูสถิต กาญจน หรือ ท่านแบน เจ้าคณะอำเภอทุ่งใหญ่ (รักษาการเจ้าอาวาสวัดจันดี ) มาเจิมป้ายเปิดศูนย์ประสานงานเพื่อเป็นสิริมงคล และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับที่ 12 และแกนนำพรรคพรรคพลังประชารัฐ
นายสุนทร เปิดเผยว่า จะเดินหาเสียงแบบค่ำไหน นอนนั้นโดยใช้สโลแกนครั้งนี้ว่า “สุนทร นอนวัด” ช่วงเช้าจะเดินหาเสียงแบบเคาะประตูบ้านจนถึงค่ำ ค่ำที่ไหนไกล้วัดไหนก็จะนอนที่นั่น เพราะเคยเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม เคยนอนบนถนนมาแล้ว คิดว่าการนอนวัดน่าจะสบายกว่า โดยจะนัดแนะชาวบ้านมาพูดคุยสะท้อนปัญหากันที่วัดเลย
สำหรับนายสุนทร เคยเป็นนายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งในเขต 8 นั้นประกอบด้วย อ.ช้างกลาง อ.ฉวาง อ.พิปูน และ อ.นาบอน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวส่วนมากจะมีอาชีพทำสวนยาง
เมื่อ 31 มี.ค.66 ,11.30น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก ประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี เพื่อติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำ การบริหารจัดการน้ำ และการผลิตน้ำประปาคุณภาพ
โดยเมื่อ พล.อ.ประวิตรฯ เดินทางถึง วัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ ได้เข้าสักการะ องค์หลวงปู่ทวด และถวายสังฆทาน แด่เจ้าอาวาส เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยมงคล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ และสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 14 เพื่อประชุมหารือร่วมกับ จังหวัด, สทนช., กรมชลประทาน และผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค
.
โดยรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัด ซึ่งมี ลำน้ำทั้งหมด 6 ลุ่มสาขา ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ รวม 220 ล้าน ลบ.ม.ได้รับการสนับสนุนงป. จากรัฐบาล ปี 61-65 จำนวน 781 โครงการ, ปี65 จำนวน 13 โครงการ,ปี66 จำนวน 21 โครงการ, และโครงการสำคัญอีก 5 โครงการ สำหรับ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคลฯ ก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย ช่วงฤดูน้ำหลาก มีความจุอ่างฯ 5.85 ล้าน ลบ.ม.
จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายที่สำคัญ โดยกำชับ สทนช. ให้เร่งรัดการดำเนินงานตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง พร้อมย้ำให้ กรมชลประทาน เร่งบริหารจัดการแหล่งเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการใช้น้ำ ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปา ต้องผลิตน้ำที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ สำหรับบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วย
ต่อมา พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นและรับฟังข้อเรียกร้อง/ข้อคิดเห็น อย่างเป็นกันเอง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้สอดคล้อง ตรงตามความต้องการของประชาชน ต่อไป
ซึ่งได้มีชาวบ้านสะท้อนความรู้สึก และกล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร กับ รัฐบาล ที่มีความจริงใจ ทุ่มเทแก้ปัญหาน้ำ และอื่นๆ อย่างได้ผล และรวดเร็ว สามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ทำให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากในปัจจุบัน พร้อมยังได้กล่าวสนับสนุนลุงป้อม อยากให้เป็นนายกฯ คนต่อไปด้วย จากนั้น พล.ประวิตร และคณะได้เดินทางไปตรวจราชการต่อในพื้นที่ จ.เพชรบุรี
เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.66) ที่หอประชุมโรงเรียนอุบลรัตน์พิทยาคม จ.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย นำโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จัดเวทีปราศรัยนโยบาย และแนะนำตัวนายเอกราช ช่างเหลา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ขอนแก่น ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังปราศรัยจำนวนมากจนล้นออกจากหอประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างปราศรัยมีการเซอร์ไพรส์เปิดตัว นายนาวิน คำเวียง อดีตสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ที่จะลงสมัคร ส.ส.ขอนแก่น เขต 7 ในนามพรรคภูมิใจไทย ซึ่งประกอบด้วย อ.หนองเรือ อ.บ้านฝาง และ อ.ภูเวียงบางส่วน
นายเอกราช ได้กล่าวแนะนำนายนาวิน และเชิญนายศักดิ์สยาม เป็นผู้สวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย เพื่อเป็นการต้อนรับนายนาวิน เข้าพรรคอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางเสียงปรบมือของประชาชนอย่างกึกก้อง โดยนายศักดิ์สยามขอให้ชาวขอนแก่นเลือกทั้งนายเอกราชและนายนาวิน เป็น ส.ส. เข้าสภาฯ ให้ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย นายนาวินได้เดินทักทายพบปะกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางมาให้กำลังใจกว่า 300 คน พร้อมกล่าวว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนตนมาโดยตลอด และยังอยู่ช่วยกัน ไม่ว่าตนจะอยู่พรรคไหน วันนี้ตนเปลี่ยนสีเสื้อมาอยู่ภูมิใจไทยแล้ว และเราจะสู้ไปด้วยกัน ตนจะพูดแล้วทำ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง บุรีรัมย์เจริญเพราะมีเนวิน ขอนแก่นก็มีนาวินเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ก่อนที่นายศักดิ์สยามจะเดินทางกลับ ได้มีคนเสื้อแดงมาตั้งแถวส่ง พร้อมส่งเสียงเชียร์พรรคภูมิใจไทยเป็นระยะ
(8 ก.พ.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างวันที่ 10 - 11 ก.พ.นี้ พรรคภูมิใจไทย นำทีมโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมแกนนำพรรค จะลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน ตลอดจนจัดเวทีปราศรัย ใน 2 จังหวัด ได้แก่ จ.กาญจนบุรี และ จ.นครปฐม พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. โดยในวันที่ 10 ก.พ.นี้ เริ่มที่ จ.กาญจนบุรี โดยตั้งแต่เวลา 15.45 น. จะขึ้นรถแห่พบปะประชาชนพี่น้อง ชาว จ.กาญจนบุรี
จากนั้น เดินทางถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เพื่อสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แล้วเดินทางไปวัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง (วัดใต้) กราบสักการะรูปหล่อพระวิสุทธิรังษี (หลวงปู่เปลี่ยน) และกราบพระเทพปริยัติโสภณ (เจ้าคุณปัญญา) เจ้าอาวาส เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี
จากนั้น นายอนุทิน และคณะจะเดินทางถึงท่าเรือวัดใต้ แล้วเดินทางโดยทางเรือล่องแม่น้ำแม่กลองเดินทางผ่านบ้านลิ้นช้าง เข้าสู่แม่น้าแควใหญ่ แวะทักทายชาวเรือ ชาวแพที่ท่าเรือเทียบแพแควใหญ่ (เกาะรัตนกาญจน์) ก่อนขึ้นปราศรัยใหญ่ ในเวลา 17.45 น. ณ ลานเอนกประสงค์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
นายอนุทิน จะเปิดปราศรัยถึงบริเวณพื้นที่ปราศรัย ทักทายประชาชนและ เปิดตัว ว่าที่ส.ส.กาญจนบุรี พรรคภูมิใจไทย ทั้ง 5 เขต ประกอบไปด้วย พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1, นายสมเกียรติ วอนเพียร ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2, นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3, นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 4 และนายอัฏฐพล โพธิพิพิธ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 5
ส่วนในวันที่ 11 ก.พ. ที่ จ.นครปฐม เวลา 13.00 น. นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ และกราบขอพรพระร่วงโรจนฤทธิ์ จากนั้นเยี่ยมชมพระราชวังสนามจันทร์ ถวายสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เยี่ยมชม อนุสาวรีย์ย่าเหล พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ จากนั้น 16.00 น. นายอนุทิน จะได้เปิดเวทีปราศรัย นำเสนอนโยบายพรรคภูมิใจไทยพร้อมเปิดตัวนายปฐมพงศ์ สูญจันทร์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นครปฐม เขต 4
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในช่วงเย็นของวันที่ 13 ก.พ.นี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะยกแกนนำพรรคบุก จ.กาญจนบุรี เช่นเดียวกัน โดยจะเป็นการเปิดปราศรัยใหญ่ต่างจังหวัดครั้งแรก ของพล.อ.ประวิตร พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี ทั้ง 5 เขต ซึ่งจะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่หมด เนื่องจาก อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 4 คน ได้ย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทยแบบยกทีมทั้ง 4 คนหมดแล้ว
เมื่อวานนี้ (6 ก.พ.66) ที่ศูนย์เยาวชนปทุมวัน กทม. พรรคภูมิใจไทย จัดเวทีปราศรัยย่อยช่วย น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตปทุมวัน หาเสียง นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หัวหน้าทีม กทม.พรรคภูมิใจไทย, นายสิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ, นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรค, นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรค, น.ส.กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. และสมาชิกพรรคร่วมขึ้นเวทีครั้งนี้
น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า ขอบคุณประชาชนทุกคนที่สนับสนุนตนมาตลอดการเป็น ส.ส.เขตปทุมวัน ตนรู้สึกว่าทุกคนเป็นคนในครอบครัว และความตั้งใจของตนยังเหมือนเดิม คือต้องการรับใช้ประชาชน เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้พี่น้องประชาชน
ขณะที่ นายศุภชัย ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ครั้งที่แล้วเราเลือกความสงบจบที่ลุงตู่ แต่ตอนนี้ความสงบมีเกินไปแล้ว แต่สิ่งที่ไม่มีคือเงินในกระเป๋า ถ้าจะให้คนเดิมบริหารประเทศ 8 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่ามันไม่ได้แล้ว พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะขายความสงบอยู่ ตนว่ามันไม่ได้แล้ว ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ระบุว่ายังเป็นนายกฯ ได้ เนื่องจากอายุยังไม่ถึง 75 ปี ตนก็ว่ามันสามารถเป็นไปได้ตามสิทธิ์ แต่ส่วนตัวตนมองว่าคนที่เหมาะสม คือ นายอนุทิน
จากนั้นเวลา นายอนุทิน ขึ้นปราศรัยเป็นคนสุดท้าย โดยกล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยมีความแน่วแน่ในการจะมารับใช้ประชาชนชาวบ่อนไก่ และชาว กทม. ตนเป็น ส.ส. มาแล้ว 10 ปี แต่ไม่เคยได้ใจคน กทม. สักเท่าไหร่ แต่มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้ชาว กทม. ใจอ่อนให้พรรคภูมิใจไทย เพราะพรรคได้นำเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชน พร้อมมั่นใจว่าวันนี้ภูมิใจไทยพร้อมรับใช้ชาว กทม. เหมือนที่รับใช้ประชาชนคนไทยตลอด 4 ปีผ่านมา ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น เรื่องคมนาคม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว
ตม.ประจวบฯ รวบตัว 21 เมียนมา ลักลอบหนีเข้าเมือง เตรียมมุ่งหน้าไปมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ พุทธิพงษ์ ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์, พ.ต.ท ณัฐพงษ์ จันทร์แจ่มหล้า รอง ผกก.ตม.จว.น่าน ปฏิบัติราชการ ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ สั่งการให้ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ นำโดย พ.ต.ต.ปวริศ ปานะจินาพร สว.ตม.ประจวบคีรีขันธ์ บูรณาการร่วมกับชุด ฉก.จงอางศึก และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและ สภ.ห้วยยาง
โดยวันที่ 27 มกราคม 2566 สนธิกำลังร่วมกันจับกุม น.ส.วิลัยพร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี หมู่ 5 ตำบลวังเย็น อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม พร้อมบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 21 คน และรถยนต์กระบะแบบหลังคาทึบ ยี่ห้อโตโยต้า กทม. จับกุมได้ที่บริเวณจุดตรวจ สภ.ห้วยยาง
สืบเนื่องจากขณะตั้งจุดตรวจบริเวณหน้า สภ.ห้วยยาง มีรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าแบบมีหลังคาทึบ ซึ่งมี น.ส.วิลัยพร เป็นคนขับ ท่าทางน่าสงสัย จึงขอตรวจค้นพบแรงงานหลบหนีเข้าเมือง เป็นชาวเมียนมา 21 คน ซึ่งได้เดินเท้าข้ามแดนมาทางช่องทางธรรมชาติ ไม่มีเอกสารใดให้ตรวจสอบ
ตำรวจไซเบอร์สงขลา บุกรวบชายขายอาวุธปืนออนไลน์ พบของกลางเพียบ!!
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2566 พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คําชํานาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.ศรายุทธ จุณณวัตต์ รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.ทิฆัมพร ศรีสังข์ รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.บัญชา ศรีสุข รอง ผบก.สอท.5, พ.ต.อ.กู้เกียรติ วงษ์พันธ์ ผกก.4 บก.สอท.5, พ.ต.ท.อาทิตย์ พลจันทร์ รอง ผกก.4 บก.สอท.5, พ.ต.ท.นิธิวัชร์ อัครสุพัฒน์กุล รอง ผกก. สอบสวน บก.สอท 5 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.4 บก.สอท.5 นำหมายค้นศาลจังหวัดสงขลา ที่ ค.2/2566 เข้าค้นบ้านเลขที่ 36 ถนนภาสว่าง 7 ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จับกุม นายสุรสิทธิ์ ช่างเพชร อายุ 28 ปี ได้โพสต์ภาพถ่ายและข้อความประกาศขายอาวุธปืนผิดกฎหมาย บนเฟสบุ๊คส่วนตัว
พล.ต.ต.ชรินทร์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจากสื่อออนไลน์เฟสบุ๊ก พบว่า นายสุรสิทธิ์ ได้โพสต์ภาพถ่ายและข้อความประกาศขายอาวุธปืนผิดกฎหมาย บนเฟสบุ๊คส่วนตัว จากการสืบสวนเชื่อว่าเป็นอาวุธปืนจริง และนำอาวุธปืนผิดกฎหมายมาซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว
จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดสงขลา เข้าทำการตรวจค้นพบ อาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติประดิษฐ์เอง ดัดแปลงจากปืนแบงค์กัน ใช้ยิงกับกระสุน .380 ไม่มีเลขตัวปืน ไม่มีเลขทะเบียนปืน จำนวน 1 กระบอก, อาวุธปืนลูกโม่ สมิทฯ ขนาด.357 ไม่มีทะเบียน 1 กระบอก, อาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อวอลเทอร์ ขนาด.22 จำนวน 1 กระบอก, ปืนลูกซองเดอร์ย่า เบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก, กระสุนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 5 นัด, กระสุนปืนขนาด .380 มม. จำนวน 24 นัด, กระสุนปืนขนาด .357 จำนวน 6 นัด, กระสุนปืน .38 จำนวน 38 นัด, กระสุนปืน .22 จำนวน 40 นัด พบของกลางทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวจริง
พบถังแก๊สต้องสงสัยเพิ่ม!! เหตุปั๊ม ปตท.ธารโต ถูกบึ้ม
(ยะลา-เบตง) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.65 แม่ทัพภาค 4 ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบเหตุระเบิดปั๊มน้ำมัน ปตท.ธารโต ประณามเป็นการก่อเหตุซ้ำเติมชาวบ้านที่เพิ่งประสบภัยน้ำท่วม ชี้ทำลายเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวช่วงใกล้ปีใหม่
จากเหตุการณ์คนร้ายก่อเหตุลอบวางระเบิด บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท.ธารโต (PTT Station) ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 (ยะลา-เบตง) ท้องที่หมู่ 1 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เหตุเกิดเมื่อเวลา 23.45 น. ของช่วงดึกวันที่ 24 ธ.ค.65 ที่ผ่านมา แรงระเบิดทำให้หัวจ่ายน้ำมันได้รับความเสียหาย โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 ธ.ค.65 พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4, พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, พ.ต.อ.อำไพ ชุมช่วย ผู้กำกับการ สภ.ธารโต, นายสุริยา บุญพันธ์ นายอำเภอธารโต, นายยงยศยิ่ง สีหะสุทธ์ ปลัดป้องกันอำเภธารโต พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี และเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 นำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
โดยเจ้าหน้าที่อีโอดี ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นถังแก๊สปิคนิค น้ำหนัก 5 กิโลกรัม วางใกล้หัวจ่ายน้ำมันอีก 1 จุด นอกเหนือจากจุดที่เกิดระเบิดไปแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ปิดกั้นพื้นที่เพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งนำหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ายิงทำลาย กระทั่งสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ 23.50 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ปั๊มปิดให้บริการ แต่ยังเปิดบริการเฉพาะร้านสะดวกซื้อ 7-11 พนักงานของร้านสะดวกซื้อได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด เมื่อมองไปที่บริเวณปั๊ม เห็นเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ และในขณะนั้นบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อก็มีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนหนึ่ง จึงได้หนีออกจากร้านไปโดยเร็ว และแจ้งเจ้าหน้าที่
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปดับไฟได้อย่างทันท่วงที ส่วนพนักงานร้านสะดวกซื้อที่ทำงานอยู่จำนวน 4 คน มีอาการแน่นหน้าอกจากแรงอัดของระเบิด เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลธารโต ซึ่งทุกคนปลอดภัย
1 มีนาคม พ.ศ. 2433 รัชกาลที่ 5 ประกาศพระบรมราชโองการ ให้สร้างทางรถไฟสายแรก กรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา
วันนี้ เมื่อ 133 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกาศพระบรมราชโองการ ให้สร้างทางรถไฟตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงเมืองนครราชสีมาเป็นทางรถไฟสายแรกในราชอาณาจักรไทย
เมื่อ พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งในเครื่องราชบรรณาการนั้นมีรถไฟเล็กจำลองย่อส่วนจากรถจักรไอน้ำของจริงที่ใช้ในเกาะอังกฤษ ประกอบด้วยหัวรถจักรไอน้ำชนิดมีปล่องสูงและรถพ่วงครบขบวน ซึ่งเป็นที่สนพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้น แต่ตลอดรัชสมัยของพระองค์ยังไม่มีการสร้างทางรถไฟเกิดขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจของราชอาณาจักรสยามในขณะนั้นยังอยู่ในฐานะที่ไม่มั่นคงและยังมีจำนวนประชากรน้อยอยู่
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงได้รับแรงบันดาลพระราชหฤทัยจากการทรงทอดพระเนตรการสร้างทางรถไฟในชวาและทรงประทับรถไฟในอินเดีย พระองค์ทรงเห็นว่ารถไฟจะทำให้ราชอาณาจักรสยามมีความเจริญยิ่งขึ้น และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับราชอาณาจักรได้ ซึ่งในขณะนั้นราชอาณาจักรสยามกำลังถูกกดดันจากชาติตะวันตกในการล่าอาณานิคม ดังนั้นการสร้างทางรถไฟจึงได้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2433 โดยมีประกาศพระบรมราชโองการสร้างทางรถไฟสยามตั้งแต่กรุงเทพมหานครถึงนครราชสีมา ดังมีข้อความแสดงพระราชดำริบางดอนว่า
"การสร้างหนทางรถไฟเดินไปมาในระหว่างหัวเมืองไกล เป็นเหตุให้ความเจริญแก่บ้านเมืองได้เป็นอย่างสำคัญอันหนึ่ง เพราะทางรถๆฟอาจจะชักย่นหนทางหัวเมืองซึ่งตั้งอยู่ไกลไปมาถึงกันยากให้กลับเป็นหัวเมืองใกล้ไปมาถึงกันได้โดยสะดวกเร็วพลัน การย้ายขนสินค้าไปมาเป็นการลำบาก ก็สามารถจะย้ายขนไปมาถึงกันได้โดยง่าย เป็นการเปิดโอกาสให้อาณาประชาราษฎร์ มีทางตั้งการทำมาหากินกว้างขวางออกไปและทำทรัพย์สมบัติกรุงสยามให้มากมียิ่งขึ้นด้วย ทั้งเป็นคุณประโยชน์ในการบังคับบัญชา ตรวจตราราชการบำรุงรักษาพระราชอาณาเขตให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขได้โดยสะดวก"
ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรมรถไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในสังกัดกระทรวงโยธาธิการ จากนั้นในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ไปทรงขุดดินถมทางรถไฟหลวงสายแรก
สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาได้แล้วเสร็จบางส่วน ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระอัครราชเทวี ไปทรงประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟหลวงสายแรกในราชอาณาจักร พระองค์ทรงตอกหมุดตรึงรางรถไฟกับไม้หมอนและเสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟพระที่นั่งไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ก้มกราบแผ่นดิน หลังลี้ภัยในต่างแดน 1 ปี 5 เดือน
วันนี้ เมื่อ 15 ปีก่อน ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรก หลังจากต้องลี้ภัยในต่างแดนเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน จากเหตุรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549
ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 ได้มีภาพของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรากฏและเป็นข่าวโด่งดังซึ่งประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กับกรณีการ ก้มกราบแผ่นดิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
หลังจากที่ นายทักษิณ ต้องออกจากประเทศไทยและลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษนานถึง 1 ปี 5 เดือน เนื่องจากถูกปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะคณะปฏิรูปการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. เมื่อปี 2549
เหตุการณ์ในวันนั้น เมื่อนายทักษิณ เดินทางมาถึง ได้อยู่ภายในห้องวีไอพีกับครอบครัว ซึ่งเป็นห้องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจัดเตรียมไว้ให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา รวมถึงทำกระบวนการต่างๆ ตรวจพาสปอร์ต จากนั้นได้เดินออกจากอาคารสนามบินสุวรรณภูมิทักทายอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย รัฐมนตรี และ ส.ส. ที่มายืนรอต้อนรับ
27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ในพิธี วางศิลาฤกษ์ ‘เขื่อนสิริกิติ์’
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เขื่อนสิริกิติ์ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์
เดิมเขื่อนนี้มีชื่อว่า 'เขื่อนผาซ่อม' โดยก่อสร้างปิดกั้นแม่น้ำน่าน บริเวณเขาผาซ่อม ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายหลังได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาขนานนามเขื่อนว่า เขื่อนสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2511
'พาณิชย์ฯ' ขึ้นทะเบียน GI 'ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา' ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า เปิดโอกาสส่งออกสู่ตลาดสากล
(ยะลา) นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียน 'ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา' เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ตัวใหม่ของจังหวัดยะลา โดยมั่นใจว่าด้วยรสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จะช่วยให้ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค และส่งผลดีต่อการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและมาเลเซีย ซึ่งสอดรับกับนโยบายสร้างความเข้มเเข็งเศรษฐกิจชุมชนไทย กระจายรายได้สู่เกษตรกรรายย่อยที่กระทรวงพาณิชย์ผลักดัน
สำหรับทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่โดดเด่น หวานมัน เนื้อเเห้ง ละเอียด เส้นใยน้อย มีกลิ่นเฉพาะตัว และเนื้อมีสีเหลืองอ่อนหรือเข้มตามแต่ละสายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ก้านยาว, พันธุ์ชะนี, พันธุ์พวงมณี, พันธุ์มูซังคิง และพันธุ์หนามดำหรือโอฉี่ ปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งเเต่ 100 เมตรขึ้นไป ตามไหล่เขา สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. ของทุกปี ผนวกกับความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ที่ร่วมกันพัฒนาคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ จึงทำให้ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา เป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้สำคัญของจังหวัดยะลา ถัดจาก 'กล้วยหินบันนังสตา' ที่ได้ขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้
โดยก่อนหน้านี้ทางจังหวัดยะลา พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ และเครือข่ายเกษตรกร ได้ร่วมกันกำหนด 1 ในยุทธศาสตร์จังหวัดยะลา คือยะลาเมืองทุเรียน (Yala Durian City) กำหนดเป้าหมายให้จังหวัดยะลา เป็นเมืองทุเรียนแห่งภาคใต้ตอนล่าง โดยมีแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตทุเรียนแบบครบวงจร
ซึ่งจังหวัดยะลา เป็นแหล่งปลูกทุเรียน และมีปริมาณผลผลิตมากที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และเป็นแหล่งปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่มีคุณภาพ ในปี 2563 มีเนื้อที่ปลูกทุเรียน 73,890 ไร่ พื้นที่ให้ผลผลิตแล้ว 53,621 ไร่ ครัวเรือนผู้ปลูก 25,326 ครัวเรือน ผลผลิตรวม 53,031 ตัน โดยเนื้อที่ปลูกกระจายทั่วทุกพื้นที่ ลักษณะการปลูกข้างบ้าน สวนผสม และปลูกร่วมพืชอื่น ๆ
‘ปตท.’ มุ่งต่อยอด ‘ขยะ’ สู่วัสดุทดแทนที่มีคุณค่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม - สอดคล้อง BCG Model
ปตท. มุ่งพัฒนาศักยภาพ 'ขยะ' ต่อยอดเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ร่วมขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ (BCG Model) ของประเทศไทย
จากวัสดุเหลือทิ้ง หรือ ‘ขยะ’ ที่ถูกมองข้าม ปตท. โดยทีมนักวิจัย จากสถาบันนวัตกรรม และ บริษัท เอช จี เนกซ์ จำกัด จับมือร่วมพัฒนาต่อยอดจนได้ทางออกที่สมบูรณ์ให้กับผู้ที่อยากเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นทรัพยากรทดแทนที่มีคุณค่า เติมเต็มช่องว่างของการค้นหาทรัพยากรใหม่ ๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดพิธีเปิดงานนิทรรศการ ‘Waste is MORE’ โดยมี นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีเปิดงานนิทรรศการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นให้เห็นถึงมิติของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านการพัฒนาศักยภาพของ ‘ขยะ’ ที่ถูกมองว่าไร้ค่า ให้กลายเป็นวัสดุทดแทนที่ ‘ไม่ไร้ค่า’ อีกต่อไป โดย ปตท. พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันศักยภาพของนวัตกรรมการวิจัย และการออกแบบของคนไทย ให้เติบโตไปแข่งขันในเวทีระดับโลก ทั้งยังคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
ปตท. ร่วมแก้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 หนุนพนักงาน Work from Home
เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด ทำให้ฝุ่นละอองสะสมตัวมากขึ้น และส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานของคนไทย เราตระหนักถึงปัญหาจึงมีนโยบายให้พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี, นครราชสีมา, พระนครศรีอยุธยา, ระยอง, ราชบุรี และขอนแก่น ปฏิบัติงานในที่พัก (Work from Home) ระหว่างวันที่ 3 – 5 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อร่วมลดผลกระทบที่เกิดจากการสัญจร
ทั้งนี้ ปตท. ยึดมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชม และสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งเร็วกว่าที่ประเทศกำหนด ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก 'ปรับ เปลี่ยน ปลูก' ปรับกระบวนการผลิต ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการให้ได้สูงสุด เปลี่ยนสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มสัดส่วนการลงทุนโดยมุ่งธุรกิจพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ โดย ปตท. เป็นแกนหลักในการปลูก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) และกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศด้วยวิธีทางธรรมชาติ