ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ตอบโต้กรณีแพทย์อ้างบุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้าเยาวชน ชี้ต้องเร่งเอากฎหมายมาควบคุมแทนการแบน

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทักท้วง หลังเครือข่ายแพทย์อ้างบุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้าเยาวชน ย้ำชัดไม่สนับสนุนให้เด็กใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่การแบนยิ่งทำให้บุหรี่ไฟฟ้าหาซื้อได้ง่ายโดยไม่มีการควบคุม จี้หยุดกลบความล้มเหลวของมาตรการแบนด้วยการเผยแพร่งานวิจัยที่ยังมีช่องโหว่ แต่ควรปลดล๊อคบุหรี่ไฟฟ้าแล้วใช้กฎหมายมาควบคุม

นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) ให้ข้อมูลตอบโต้กรณีงานเสวนาของเครือข่ายที่ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงว่า...“ก่อนหน้านี้ เครือข่ายแพทย์ก็เคยอ้างถึงผลวิจัยว่าเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มจะสูบบุหรี่ธรรมดาเพิ่มขึ้น และกล่าวอ้างถึง Gateway Effects นั้น หากลองมาเปิดงานวิจัยอ่านดูดีๆจะเห็นเลยว่ามีช่องโหว่เยอะมาก ตั้งแต่จำนวนกลุ่มตัวอย่างจนถึงขั้นตอนวิจัย อีกทั้งผลวิจัยดังกล่าวก็ช่วยยืนยันว่าการแบนยิ่งทำให้เด็กเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าใต้ดินได้โดยไร้กฎหมายควบคุม
 

งานศึกษาดังกล่าวเป็นการวิจัยแบบ Longitudinal Survey ซึ่งติดตามผลผู้เข้าร่วมการศึกษา 4.3 พันคนเป็นระยะเวลา 12 เดือน มีเพียง 2.3% เป็นผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าประจำ ขณะที่ 5.1% ยอมรับว่าเคยทดลอง แต่ด้วยสัดส่วนที่น้อยมากจึงไม่ไม่สามารถเอามาตีความได้ว่ามีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งประเทศ อีกทั้งใช้การติดตามผลผ่านการตอบแบบสอบถาม ซึ่งมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจและการตีความคำถาม รวมถึงไม่มีการอธิบายความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่สำคัญที่สุดในการประเมินความสัมพันธ์ของการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากับการเริ่มต้นสูบบุหรี่ในภายหลัง
นายอาสายังได้กล่าวเสริมอีกว่า ประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตคือทั้งผลการศึกษาชิ้นนี้ และสิ่งที่พูดกันในงานเสวนาว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีรสชาติมากมาย เป็นหลักฐานยืนยันว่าการแบนเป็นมาตรการที่ไม่ได้ผล เพราะการซื้อบุหรี่ไฟฟ้าทำได้ง่าย และมีการขายทำการตลาดในหลายรูปแบบ ซึ่งเท่ากับว่าการแบนนั้นไม่สามารถป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าผ่านช่องทางผิดกฎหมายหรือใต้ดินได้

“พวกเราเองก็ไม่อยากให้เด็กหรือเยาวชนใช้บุหรี่ไฟฟ้า จึงพยายามอยากให้มีการปลดล๊อคการแบนแล้วเอากฎหมายมาควบคุมแทน จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง รวมทั้งกระทรวงดีอีเอส เล็งเห็นว่าจำเป็นจะต้องมีมาตรการที่ดีกว่านี้ในการควบคุมและป้องกันเด็กและเยาวชน และยอมรับความจริงว่าการแบนไม่ใช่ทางออก ซึ่งขณะนี้ก็มีหลายหน่วยงาน เช่น กมธ. พาณิชย์ กมธ. สาธารณสุข ผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้และมีคำแนะนำออกมา ซึ่งเราหวังว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำไปพิจารณาแก้ไขโดยเร็วที่สุด”


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000105112